Present Simple Tense คืออะไร หลักการใช้ ตัวอย่างประโยค
Present Simple Tense เป็นส่วนหนึ่งของ Present Tense ซึ่งประกอบด้วยประโยคปัจจุบันกาลแบบอื่นๆ อีก คือ
Present Simple Tense คือ ประโยคปัจจุบันกาล เป็นรูปแบบประโยคง่ายๆ ที่บอกเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน เป็นความจริงในขณะที่พูด เป็นเหตุการณ์ที่เป็นความจริงเสมอ เป็นความจริงตามธรรมชาติ, ใช้ในสำนวน สุภาษิต หรือใช้ในเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทำอยู่เป็นประจำ
ประโยคปัจจุบันกาลจึงมักจะมีกริยาวิเศษณ์ที่บอกความถี่อยู่ในประโยคด้วย กริยาวิเศษณ์ที่มักใช้บอกความถี่เหล่านี้ เช่น always, usually, generally, sometimes, seldom, never เป็นต้น หรืออาจะประกอบด้วยกลุ่มคำที่ใช้บอกความถี่ เช่น twice a month, every week, in the morning เป็นต้น
ประโยคปัจจุบันกาลในภาษาอังกฤษสามารถเขียนได้ 2 วิธี คือ
- Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกริยา ประโยคลักษณะนี้อาจมีกรรมมารองรับหรือไม่มีก็ได้
- Passive Voice คือ ประโยคที่เน้นไปที่บุคคลหรือกรรมที่ถูกกระทำมากกว่าบุคคลที่เป็นผู้กระทำเอง ดังนั้นจึงนำกรรมหรือผู้ถูกกระทำขึ้นมาเป็นประธานของประโยค บางครั้งอาจจะละผู้กระทำกริยาไปเลยก็ได้ และคำกริยาในประโยคแบบ Passive Voice จะเป็นคำกริยาช่อง 3 (V.3) หรือที่เรียกว่า Past Participle
ผันกริยาในประโยคปัจจุบันกาล
ประโยคปัจจุบันกาล บ่อยครั้งจะต้องมีการผันกริยารูปปกติหรือ verb infinitive ตามประธาน การผันกริยาส่วนใหญ่จะเป็นการเติม -s/-es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (He, She, It )และคำนามอื่นๆ ในขณะที่กริยาบางตัวจะเปลี่ยนรูปไปเลย หลักการผันกริยาเบื้องต้นมีดังต่อไปนี้
- เติม s ท้ายคำกริยานั้น talks, moves, smiles, helps, speaks, jumps, drinks เป็นต้น
- กริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o, และ x จะต้องเติม es เช่น passes, goes, catches, brushes, boxes เป็นต้น
- กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม es เช่น flies, carries, cries เป็นต้น
- กริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ ให้เติม s ท้ายคำได้เลย เช่น plays, destroys เป็นต้น
- กริยาช่วย (auxiliary verb) จะเปลี่ยนรูปตามประธานไปเลย เช่น verb to be, verb to do และ verb to have เป็นต้น
การผันกริยาช่วย verb to be
ประธาน | verb to be |
---|---|
I | am |
We | are |
You | are |
They | are |
He | is |
She | is |
It | is |
การผันกริยาช่วย verb to do
ประธาน | verb to do |
---|---|
I We You They | do |
He She It | does |
การผันกริยาช่วย verb to have
ประธาน | verb to have |
---|---|
I We You They | have |
He She It | has |
ประโยคบอกเล่ารูปปัจจุบัน
คือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำ เป็นความจริงหรือถาวร
โครงสร้างประโยคบอกเล่ารูปปัจจุบัน active voice
ประธาน + กริยาช่อง 1 (V.1)
ตัวอย่าง
The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
I have money.
ฉันมีเงิน
โครงสร้างประโยคบอกเล่ารูปปัจจุบัน passive voice
กรรม + verb to be + กริยาช่อง 3 (Past Participle)
ตัวอย่าง
These bags are imported from France.
กระเป๋าเหล่านี้นำเข้ามาจากฝรั่งเศส
Rice is grown by farmer in rainy season.
ข้าวถูกปลูกโดยชาวนาในฤดูฝน
ประโยคปฏิเสธรูปปัจจุบัน
คือ ประโยคที่ปฏิเสธว่าการกระทำหรือเหตุการณ์ที่กล่าวถึงไม่ได้เกิดขึ้น ไม่เป็นความจริง โดยมีคำว่า “not” กำกับอยู่ในประโยค ซึ่งคำว่า “not” จะวางอยู่หลังคำกริยาช่วย แล้วตามด้วยกริยารูปปกติที่ไม่มีการผัน
เมื่อเราใช้ประโยคปฏิเสธที่มีคำว่า “not” ตามหลังคำกริยา บ่อยครั้งที่เราพบเจ้าของภาษาจะย่อคำนั้นให้สั้นลง เรียกว่า Contraction หรือ การย่อคำ ในประโยคปัจจุบันกาลเราจะพบการย่อคำ เช่น isn’t หรือ doesn’t เป็นต้น
โครงสร้างประโยคปฏิเสธรูปปัจจุบัน active voice
ประธาน + verb to do + not + คำกริยารูปปกติ (Infinitive Verb)
ประธาน + verb to be + not + คำกริยารูปปกติ (Infinitive Verb)
ตัวอย่าง
My daughter is not a morning person.
My daughter isn’t a morning person.
ลูกสาวของฉันไม่ใช่คนชอบตื่นเช้า
John does not live in Thailand.
John doesn’t live in Thailand.
จอห์นไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย
โครงสร้างประโยคปฏิเสธรูปปัจจุบัน passive voice
มีโครงสร้างประโยคสองรูปแบบ ดังนี้
กรรม + verb to be + not + กริยาช่อง 3 (Past Participle)
กรรม + verb to do + not + get + กริยาช่อง 3 (Past Participle)
ตัวอย่าง
The children aren’t hit by the car.
The children don’t get hit by the car.
เด็กๆไม่ได้ถูกรถชน
Harry Potter isn’t written by Roald Dahl.
Harry Potter doesn’t get written by Roald Dahl.
แฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่ได้ถูกเขียนโดยโรอัลด์ ดาห์ล
ประโยคคำถาม Yes/No รูปปัจจุบัน
คือ ประโยคที่ถามเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือความจริงในปัจจุบัน โดยถามเพื่อต้องการคำตอบ “ใช่ หรือ ไม่ใช่” (Yes/No) เท่านั้น
โครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No รูปปัจจุบัน active voice
Verb to do + ประธาน + คำกริยารูปปกติ (Infinitive Verb)?
Verb to do + not + ประธาน + คำกริยารูปปกติ (Infinitive Verb)?
Verb to do + ประธาน + not + คำกริยารูปปกติ (Infinitive Verb)?
ตัวอย่าง
Does Jenny play tennis?
เจนนี่เล่นเทนนิสหรือไม่
Don’t they want to eat here?
Do they not want to eat here?
พวกเขาต้องการทานที่นี่หรือไม่
โครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No รูปปัจจุบัน passive voice
Verb to be + กรรม + กริยาช่อง 3 (Past Participle)?
Verb to be + not + กรรม + กริยาช่อง 3 (Past Participle)?
Verb to be + กรรม + not + กริยาช่อง 3 (Past Participle)?
ตัวอย่าง
Is a prescription needed if one wants to buy medicines in Thailand?
ใบสั่งยาจำเป็นหรือไม่หากต้องการซื้อยาในประเทศไทย
Aren’t these plates cleaned properly?
Are these plates not cleaned properly?
จานพวกนี้ไม่ได้ถูกล้างอย่างถูกต้องใช่หรือไม่
ประโยคคำถาม Wh- questions รูปปัจจุบัน
ประโยคคำถามแบบ Wh- question เป็นประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำถามดังต่อไปนี้
Who | ใคร |
Whom | ใคร |
What | อะไร |
Which | อันไหน |
When | เมื่อไหร่ |
Where | ที่ไหน |
Why | ทำไม |
How | อย่างไร |
โครงสร้างคำถาม Wh- questions รูปปัจจุบัน
Wh-questions ใช้สำหรับคำถามที่เราทราบแน่นอนว่าสิ่งไหนหรือใครคือประธานของประโยค มีรูปแบบดังนี้
คำถาม + verb to do + ประธาน + คำกริยารูปปกติ (Infinitive Verb)?
ตัวอย่าง
What do you think about the movie?
คุณคิดอย่างไรกับหนังเรื่องนี้
How much money do youtubers make every 1,000 views ?
ทุกๆ 1,000 ยอดวิว ยูทูปเบอร์ทำรายได้ได้มากเท่าไหร่
Where does Jackson live?
แจ็คสันอาศัยอยู่ที่ไหน
Why do you want this job?
ทำไมคุณจึงอยากได้งานนี้
โครงสร้างคำถาม Wh- question แบบ negative รูปปัจจุบัน
ประโยคคำถามในลักษณะ มักเป็นการถามประธานเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามหาความจริง หรือซักถามเพื่อให้คำแนะนำหรือความคิดเห็น มีรูปแบบดังต่อไปนี้
คำถาม + verb to do + not + ประธาน + คำกริยารูปปกติ (Verb Infinitive)?
ตัวอย่าง
Why don’t you go to your doctor?
Why do you not go to your doctor?
ทำไมคุณถึงไม่ไปพบหมอ
When doesn’t a child need a car seat?
When does a child not need a car seat?
เมื่อไหร่ที่เด็กไม่จำเป็นต้องใช้คาร์ซีท
How don’t birds get electrocuted?
How do birds not get electrocuted?
นกไม่ถูกไฟดูดได้อย่างไร
Where don’t you need a passport?
Where do you not need a passport?
มีที่ไหนบ้างที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือเดินทาง
What don’t you like about yourself?
What do you not like about yourself?
คุณไม่ชอบอะไรในตัวคุณบ้าง
โครงสร้างคำถาม Who รูปปัจจุบัน
ประโยคคำถาม Who จะใช้ถามถึงบุคคล ใช้เมื่อไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ เมื่อเราตั้งคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Who ไม่ว่าคำตอบจะเป็นใครก็ตาม หรือมีผู้กระทำหลายคน เราจะใช้คำกริยาช่อง 1 สำหรับสรรพนามเอกพจน์บุรุษที่ 3 เท่านั้น นั่นหมายความว่า หากเราต้องใช้ verb to do ในประโยค เราจะใช้ “Who does…?” เสมอ
Who + กริยาช่อง 1?
Who + does + กรรม?
ตัวอย่าง
Who drives this car?
ใครขับรถคันนี้
Who does the laundry?
ใครเป็นคนซักผ้า
โครงสร้างคำถาม Who รูปปัจจุบัน แบบ negative
ประโยคคำถามที่ใช้ Who แบบ negative จะใช้เมื่อต้องการทราบว่าใครเป็นผู้ที่ไม่ได้กระทำหรืองดเว้นการกระทำสิ่งหนึ่งส่ิงใด
Who + does not (doesn’t) + คำกริยารูปปกติ (Verb Infinitive)?
ตัวอย่าง
Who doesn’t want an ice-cream?
ใครไม่ต้องการไอศกรีมบ้าง
Who doesn’t sleep at night?
ใครไม่นอนตอนกลางคืนบ้าง
โครงสร้างคำถาม Which รูปปัจจุบัน
คำถามที่ใช้ Which เป็นการถามเพื่อให้เลือกตอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่ง ซึ่งจะมีโครงสร้างดังนี้
Which + กรรม + verb to do + ประธาน + คำกริยารูปปกติ (Verb Infinitive)?
การใช้ Which อีกแบบ คือ การถามว่าประธานคนใด หรือสิ่งใดเป็นผู้กระทำ เพราะเราไม่ทราบว่าประธานเป็นใคร หรือมีกี่คน/กี่อัน เราจะใช้คำกริยาช่อง 1 สำหรับสรรพนามเอกพจน์บุรุษที่ 3 ตามหลังประธาน
Which + ประธาน + กริยาช่อง 1/กริยาช่วยเอกพจน์บุรุษที่ 3?
ตัวอย่าง
Which pen does the president use?
ปากกาด้ามไหนที่ประธานาธิบดีใช้
Which employee drives this car?
พนักงานคนไหนขับรถคันนี้
โครงสร้างคำถาม Which รูปปัจจุบัน แบบ negative
คำถามลักษณะนี้เป็นการถามให้เลือกตอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือถามเพื่อต้องการทราบว่าสิ่งใดไม่ได้กระทำหรือมีส่วนในการกระทำนั้น
Which + กรรม + verb to do + ประธาน + not + คำกริยารูปปกติ (Verb Infinitive)?
ถามว่าประธานคนใด หรือสิ่งใดไม่ได้เป็นผู้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
Which + ประธาน + does not(doesn’t) + คำกริยารูปปกติ (Verb Infinitive)?
ตัวอย่าง
Which dish doesn’t he eat?
Which dish does he not eat?
อาหารจานไหนที่เขาไม่กิน
Which student doesn’t finish the homework?
นักเรียนคนไหนไม่ได้ทำการบ้านให้เสร็จ
Present Simple Tense เป็น Tense ที่ง่ายที่สุดในทั้งหมดในภาษาอังกฤษ จะช่วยให้ผู้ใช้ภาษาอังกฤษบอกเล่าเรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อนได้ และเป็น Tense แรกๆ ที่ครูภาษาอังกฤษนำใส่ในคอร์สภาษาอังกฤษสำหรับเด็กและภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใหญ่ที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ
Tense ภาษาอังกฤษอื่นๆ มีดังต่อไปนี้
- Past Tense
- Past Simple Tense — ประโยคอดีตกาล
- Past Continuous Tense — ประโยคอดีตกาลต่อเนื่อง
- Past Perfect Tense — ประโยคอดีตกาลสมบูรณ์
- Past Perfect Continuous Tense — ประโยคอดีตกาลสมบูรณ์แบบต่อเนื่อง
- Future Tense
- Future Simple Tense — ประโยคอนาคตกาล
- Future Continuous Tense — ประโยคอนาคตกาลต่อเนื่อง
- Future Perfect Tense — ประโยคอนาคตกาลสมบูรณ์
- Future Perfect Continuous Tense — ประโยคอนาคตกาลสมบูรณ์แบบต่อเนื่อง
ดังนั้นแม้ว่าจุดประสงค์ของผู้เรียนจะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเน้นพูดเท่านั้น ผู้เรียนก็จำเป็นต้องเรียนไวยากรณ์ที่ช่วยให้ผู้เรียนบอกความต้องการในปัจจุบัน อนาคต หรือเล่าเรื่องที่เกิดในอดีตแบบง่ายๆ ได้ ในขณะที่การเขียนภาษาอังกฤษจะต้องใช้ Tense ที่ยากกว่านั้นเพื่อให้ผู้เขียนสามารถเล่าเรื่องราวให้เป็นลำดับขั้นตอนได้อย่างละเอียด การเรียน Tense ในภาษาอังกฤษสามารถเรียนได้จากสื่อต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรียนจากเว็บไซต์บนอินเตอร์เน็ต หรือจากแบบเรียนภาษาอังกฤษก็ช่วยให้ผู้เรียนเก่งไวยากรณ์ได้หากผู้เรียนฝึกฝนมากพอ