สรุป Relative pronoun พร้อมตัวอย่าง และวิธีใช้ อย่างละเอียด

Relative Pronoun (ประพันธสรรพนาม หรือ คำสรรพนามสัมพันธ์) คือ คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยค (Clause) หรือวลี (Phrase) เข้ากับคำนาม (Noun) หรือคำสรรพนาม (Pronoun) ประโยคที่นำมาเข้าเชื่อมนั้นจะถูกใช้เพื่อขยายคำนามหรือคำสรรพนามให้มีรายละเอียดมากขึ้น และเราเรียกประโยคชนิดนี้ว่า Relative Clause หรือ Adjective Clause เพราะมันทำหน้าที่ขยายคำนามให้มีรายละเอียดมากขึ้นเหมือน Adjective (คำวิเศษณ์)

ตำแหน่งของ Relative Pronoun ในประโยค

นาม/สรรพนาม + Relative Pronoun + ประโยคขยาย/วลี

Relative Pronoun หรือประพันธสรรพนามจะวางอยู่หน้าประโยค/วลีที่มาทำหน้าที่ขยายคำนามเสมอ และปกติแล้วมักจะตามหลังคำนาม/สรรพนามที่ถูกขยาย

Relative Pronoun หรือประพันธสรรพนามจะวางอยู่หน้าประโยค/วลีที่มาทำหน้าที่ขยายคำนามเสมอ และปกติแล้วมักจะตามหลังคำนาม/สรรพนามที่ถูกขยาย
ตำแหน่งการวาง Relative Pronoun

Relative Pronoun มีอะไรบ้าง

Relative Pronoun ที่ใช้มากที่สุดคือ who, whom, whose, which, that
Relative Pronoun ที่ใช้บ่อยที่สุด

Relative Pronoun ที่ใช้มากที่สุดคือ who, whom, whose, which, that ส่วนคำอื่นที่ใช้บ้างบางครั้ง เช่นคำว่า when why และ where

Relative Pronounความหมายวิธีใช้
whoคนที่…ใช้กับคน เมื่อคนๆ นั้นเป็นประธาน (Subject) ในประโยคขยาย
whomคนที่…ใช้กับคน เมื่อคนๆ นั้นเป็นกรรม (Object) ของคำกริยาในประโยคขยาย
whoseอันที่…, คนที่…ใช้เพื่อแสดงความเป็นของเจ้าของของคนที่กล่าวถึงประโยค
whichที่…, ซึ่ง…ใช้กับสิ่งของและสัตว์ที่ไม่เฉพาะเจาะจง (ไม่ใช้ which กับคน)
thatที่…, ซึ่ง…ใช้กับคน สัตว์ และสิ่งของที่เฉพาะเจาะจง
whenเมื่อ…ใช้กล่าวถึงเวลา
whereที่…ใช้กล่าวถึงสถานที่
whyที่…, ซึ่ง…ใช้ระบุสาเหตุ

การใช้ Who และ Whom

Who และ Whom เป็นคำ Relative pronoun ที่มีความสับสันมากที่สุด หลายคนไม่เข้าใจความแตกต่างของ who และ who บ่อยครั้งจะมีการใช้ผิด คือ ใช้ who แทน whom เช่น

การใช้แบบผิด

I met a girl who got hit by a car.

การใช้แบบถูกต้อง

I met a girl whom got hit by a car.

ประโยคด้านบนนี้หมายความว่า “ฉันพบเด็กผู้หญิงที่ถูกรถชน” เป็นประโยคความซ้อน (Complex Sentence) ที่ประกอบด้วยประโยคความเดียว (Simple Sentence) 2 ประโยค ดังนี้

I met a girl.
ฉันพบเด็กผู้หญิง

A girl got hit by a car.
เด็กผู้หญิงถูกรถชน

“a girl” ใน 2 ประโยคนี้เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวกัน เราต้องการนำ Relative Pronoun ที่ใช้กับคนเข้ามาเชื่อม 2 ประโยคนี้เข้าด้วยกัน เนื่องจากรถเป็นประธาน ชนเป็นคำกริยา และเด็กผู้หญิงเป็นกรรม (เพราะเป็นผู้ถูกรถชน) เราจึงต้องใช้ whom ในการเชื่อมประโยค

ให้จำไว้เสมอว่าหากคำนามหรือสรรพนามที่เราต้องการขยายเป็นกรรมของประโยคขยาย เราต้องใช้ whom ทำหน้าที่เชื่อมประโยค แต่ถ้าคำนามหรือสรรพนามเป็นประธานของประโยคขยาย ให้ใช้ who

การใช้ whose

whose เป็น Relative Pronoun ที่ใช้กับคำนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Noun) หรือคำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronoun) ใช้ได้ทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ

ตัวอย่าง

This is a man whose gloves belong to.
นี่คือผู้ชายเจ้าของถุงมือ

ประโยคความซ้อนนี้ประกอบด้วยประโยคความเดียว 2 ประโยคดังนี้

This is a man.
นี่คือผู้ชาย

The gloves belong to a man.
ถุงมือเป็นของผู้ชายคนหนึ่ง (ผู้ชายคนหนึ่งเป็นเจ้าของถุงมือนี้)

ใน 2 ประโยคนี้เรากล่าวถึง “a man” คนเดียวกัน และคนนี้ๆ เป็นเจ้าของถุงมือ เราจึงต้องใช้ whose ในประโยค ตัวอย่างการใช้ whose อื่นๆ เช่น

This is a picture of her whose name I don’t know.
นี่คือรูปภาพของเธอคนที่ฉันไม่ทราบชื่อ

(her, her name)

Anna is a member whose opinion I respect.
อันนาคือสมาชิกคนที่ฉันเคารพความคิดเห็นของเธอ (ฉันเคารพความคิดเห็นของอันนา)

(person, her opinion)

On the left is James whose car got hit by the bus yesterday.
ด้านซ้ายคือเจมส์คนที่รถถูกชนด้วยรถบัสเมื่อวานนี้

(James, James’ car)

No army can stop an idea whose time has come.
กองทัพที่ไหนก็ไม่สามารถหยุดยั้งความคิดที่มาถูกเวลาได้

(an idea, idea’s time)

การใช้ which และ that

ความแตกต่างที่สังเกตได้ทันทีคือ that ใช้เชื่อมได้ทุกสิ่งอย่าง ในขณะที่ which ใช้เชื่อมได้เกือบทุกสิ่งยกเว้น “คน” แต่นอกจากนั้นแล้ว ยังมีความแตกต่างอีกคือลักษณะของประโยคที่นำมาเชื่อมกับคำนามหรือคำสรรพนามนั้นว่าเป็นประโยคขยายแบบเฉพาะเจาะจงหรือไม่ และไม่สามารถใช้แทนกันได้ เพราะหากนำมาใช้แทนกันแล้วความหมายของ 2 ประโยคจะเปลี่ยน หรือมีความหมายไม่เหมือนกัน

คำนาม + which + ประโยคขยายไม่เฉพาะเจาะจง

คำนาม + that + ประโยคขยายแบบเฉพาะเจาะจง

ตัวอย่าง

She delete the photo that I don’t like.
เธอลบรูปภาพที่ฉันไม่ชอบ (ฉันไม่ชอบรูปภาพที่เธอลบ)

ตัวอย่างด้านบนนี้ประโยคขยาย I don’t like เข้ามาขยายคำนามหน้า Relative Pronoun คือคำว่า photo

She delete the photo which I don’t like.
เธอลบรูปภาพซึ่งฉันไม่ชอบเลย (ไม่ชอบที่เธอลบรูปภาพ)

ตัวอย่างนี้ประโยคขยาย I don’t like เข้ามาขยายคำกริยา คือคำว่า delete ในประโยคหลัก ว่าเป็นการกระทำที่ฉันไม่ชอบ

การเขียนแบบไม่ใช้ Relative Pronoun

ในการพูดและการเขียนแบบไม่เป็นทางการ บ่อยครั้งเราจะพบว่ามีการละคำ Relative Pronoun โดยเราจะละเมื่อคำ Relative Pronoun นี้นำหน้า Defining Relative Clause หรือทำหน้าที่เป็นกรรมของคำกริยาเท่านั้น

ตัวอย่างที่ละได้

Russian is a language which I’ve found hard to learn.
ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ฉันพบว่ามันยากที่จะเรียน

language เป็นกรรม ของประโยค ดังนั้นเราจึงละ Relative Pronoun ในประโยคนี้ได้

Russian is a language I’ve found hard to learn.
ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ฉันพบว่ามันยากที่จะเรียน

ตัวอย่างที่ละไม่ได้

There’s a hill which begins five kilometres after the start of the race.
มีเนินเขาที่เริ่ม 5 กิโลเมตรหลังจากเริ่มการแข่งขัน

ประโยคนี้ a hill เป็นประธาน เราจะละ Relative Pronoun และเขียนเป็น There’s a hill begins five kilometres after the start of the race. ไม่ได้

การใช้ when, where and why

ในประโยคแบบไม่เป็นทางการ บ่อยครั้งที่เราจะใช้ where, when และ why นำหน้า defining relative clauses แทนการใช้ at which, on which และ for which

whereสถานที่I know a hotel where the service is excellent.
(… a hotel at which the service is excellent)
ฉันรู้จักโรงแรมที่ให้บริการยอดเยี่ยมมาก
whenเวลาThere isn’t a day when I don’t think of you.
(… a day on which I don’t think of you.)
ไม่มีสักวันที่ฉันไม่คิดถึงคุณ
whyสาเหตุDo you know the reason why the restaurant is closed today?
(… the reason for which the restaurant is closed …)
คุณรู้สาเหตุที่ร้านอาหารปิดในวันนี้ไหม

ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่สำคัญหากคุณต้องการพูดภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารภาษาอังกฤษในที่ทำงานสำหรับคนวัยทำงาน เพราะจะต้องมีการเขียนภาษาอังกฤษที่เป็นทางการมากกว่าเข้ามาร่วมด้วย การใช้ภาษาอย่างถูกหลักไวยากรณ์จะทำให้เราดูมีความเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือมากขึ้น ไวยากรณ์สำหรับเด็กวัยเรียนก็เป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน เพราะครูภาษาอังกฤษในโรงเรียนมักเน้นการทำข้อสอบไวยากรณ์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการจะได้คะแนนภาษาอังกฤษดีหรือไม่ก็จะขึ้นอยู่กับความรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียน นอกจากนี้การทำข้อสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษ เช่น ข้อสอบ IELTS และข้อสอบ TOEIC ก็มีข้อสอบไวยากรณ์ที่ใช้ทดสอบความรู้ของผู้เรียนด้วยเช่นกัน

อัพเดทล่าสุด: