ฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษ ประธาน กริยา กรรม โครงสร้างประโยค

โครงสร้างประโยค (Parts of Sentence) หรือส่วนประกอบของประโยคภาษาอังกฤษ คือการแบ่งภาคต่างๆ ในประโยคภาษาอังกฤษตามทำหน้าที่ของมัน นักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษกับครูสอนภาษาอังกฤษจะได้เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคเมื่อต้องฝึกแต่งประโยค

Parts of sentence — ส่วนประกอบของประโยคภาษาอังกฤษ

Parts of sentence หรือส่วนประกอบของประโยคสามารถแบ่งได้เป็น 5 ส่วนหลักๆ ดังนี้

  1. Subject แปลว่าภาคประธาน คือส่วนที่ทำหน้าที่เป็นประธานหรือผู้กระทำในประโยค ภาคประธานยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็น
    • Simple subject — ประธานที่เป็นคำๆ เดียว มักเป็นคำนามและคำสรรพนาม
    • Complete subject — ประธานที่มีคำคุณศัพท์ขยาย เช่น neighbour’s black cat เป็นต้น
    • Compound subject — ประธานที่มี Simple subject มากกว่า 1 คำขึ้นไป เช่น Lisa and Tom เป็นต้น
  2. Predicate แปลว่า ภาคแสดง คือส่วนแสดงการกระทำ หรือคำกริยา สามารถแบ่งย่อยออกเป็น
    • Simple predicate — คำกริยาคำเดียว เดี่ยวๆ
    • Complete predicate — คำกริยาที่ตามด้วยกรรมหรือวลี ที่เข้ามารองรับคำกริยา เช่น

      The pilot flew.
      นักบินบิน

      บอกแค่ว่านักบินทำการบิน แต่ไม่รู้ว่าบินอะไร หากต้องการทำให้คำกริยา flew เป็น Complete predicate ต้องมีวลีหรือกรรมมารองรับ เช่น

      The pilot flew the aeroplane.
      นักบินบินเครื่องบิน
    • Compound predicate — คือมี Simple predicate หรือมีการกระทำมากกว่า 2 การกระทำขึ้นไป เช่น

      Tom bought a flower and ate lunch at the shopping mall.
      ทอมซื้อดอกไม้และทานอาหารกลางวันที่ห้างสรรพสินค้า

  3. Object แปลว่า กรรมของประโยค คือคน, สัตว์, สิ่งของที่เข้ามารับการกระทำ หรือถูกกระทำจากภาคประธาน
  4. Complements คือส่วนเติมเต็ม ส่วนมากเราจะพบว่าคำประเภท Adjective หรือคำคุณศัพท์จะมีหน้าที่เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มในประโยค เช่น

    This man is tall.
    ผู้ชายคนนี้เป็นคนสูง

    She painted the flower pink.
    เธอระบายสีดอกไม้เป็นสีชมพู

  5. Modifiers แปลว่า ส่วนขยาย โดยจะเป็นการขยายภาคประธานหรือภาพแสดงก็ได้ หากขยายภาพประธานจะใช้ Adjective เช่น

    The tall man works fast.
    ผู้ชายตัวสูงทำงานเร็ว

    หากใช้เป็นส่วนขยายภาพแสดงจะใช้ Adverb เช่น

    Jane writes slowly.
    เจนเขียนช้า

Parts of speech — หน้าที่ของคำ

สิ่งที่ควรรู้เมื่อต้องสร้างประโยคภาษาอังกฤษอีกอย่าง คือ Parts of speech ซึ่งหมายถึงหน้าที่ของคำ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละคำนั้นมีหน้าที่อะไรและอยู่ส่วนไหนของประโยค

ประเภทและหน้าที่ของคำมีดังต่อไปนี้

  1. Noun (คำนาม) — เป็นคำที่ใช้เรียกคน สถานที่หรือสิ่งของ เช่น Cat (แมว) , table (โต๊ะ), king (กษัตริย์)
  2. Pronoun(คำสรรพนาม) — คือ คำที่ใช้แทนคำนาม ตัวอย่าง : He (เขาผู้ชาย), she (เขาผู้หญิง), they (พวกเขา)
  3. verb(คำกริยา) — คือ คำที่บอกการกระทำ ตัวอย่าง : Swim (ว่ายน้ำ), is(เป็น/อยู่/คือ), write (เขียน)
  4. Adjective(คำคุณศัพท์) — ใช้ขยายความ (ปรับเปลี่ยน) หรืออธิบายคำนามหรือคำสรรพนาม ตัวอย่าง : Beautiful (สวย), white (สีขาว), shiny (สว่างไสว) หรือคำชมภาษาอังกฤษต่างๆ ก็เป็นคำคุณศัพท์เช่นเดียวกัน
  5. Adverb(คำกริยาวิเศษณ์) — คือ คำที่ใช้ขยายหรืออธิบายคำกริยาให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น (ใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นทำได้อย่างไร) ตัวอย่าง : Quickly (อย่างรวดเร็ว), carefully (อย่างะระมัดระวัง), brightly (เจิดจ้า)
  6. Preposition(คำบุพบท) — คือคำที่ใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับคำอื่นๆ ตัวอย่าง : From (จาก), under(ใต้), until (จนกระทั่ง) หรือ การใช้ in on atบอกอยู่ที่ ภาษาอังกฤษ
  7. Conjunction(คำสันธาน) — คือ คำที่ใช้เชื่อมคำหรือข้อความเข้าด้วยกัน ตัวอย่าง : And(และ), but (แต่), although (ถึงแม้ว่า)

เหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์พื้นฐานสำหรับการสร้างประโยคทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นประโยคพูดแนะนำตัวเองภาษาอังกฤษ ประโยคขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่ประโยคพูดให้กำลังใจภาษาอังกฤษ ฯลฯ เพื่อให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน ถูกต้องและมั่นใจ

Subject — ประธานของประโยคภาษาอังกฤษ

ประธานในประโยคภาษาอังกฤษเรียกว่า Subject ประธานในภาษาอังกฤษคือคำนามหรือคำสรรพนามภาษาอังกฤษที่เป็นผู้กระทำ ประธานมักมาพร้อมกับคำกริยา ซึ่งเป็นสิ่งที่ประธานกระทำ เช่น

Subject + verb
(ประธาน + คำกริยา)

Monkey eats bananas.
ลิงกินกล้วย

ในตัวอย่างด้านบนนี้ Monkey เป็นประธานของประโยค ซึ่งเป็นผู้กระทำกริยากิน หรือ eats

Verb — กริยาของประโยคภาษาอังกฤษ

คำกริยาในภาษาอังกฤษเรียกว่า verb เป็นการกระทำของประธาน และประธานเป็นผู้ทำกริยา เมื่อมีประธานเรามักพบคำกริยาตามหลังประธาน จากตัวอย่างก่อนหน้านี้

Money eats bananas.
ลิงกินกล้วย

verb ในประโยคนี้คือคำว่า eats ซึ่งเป็นสิ่งที่ประธาน (Monkey) กระทำ ซึ่งก็คือการกินนั้นเอง

Pronouns — สรรพนามของประโยคภาษาอังกฤษ

คำสรรพนามภาษาอังกฤษคือคำที่ใช้เรียกแทนคำนาม คำสรรพนามหลักๆ ที่เราใช้บ่อยที่สุดมี 7 คำ ดังนี้

สรรพนามคำอ่านคำแปล
Iไอฉัน
Weวีพวกเรา
Youยูวคุณ
Theyเธดย์ (วางลิ้นระหว่างฟัน ก่อนออกเสียง เดย์)พวกเขา
Heฮีเขา
Sheชีหล่อน, เธอ
Itอิทมัน

pronouns เหล่านี้ใช้แทนคำนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค และสามารถใช้วางแทนคำนามที่เป็นประธานได้ทันที เช่น

That is a monkey. It eats bananas.
นั่นคือลิง มันกินกล้วย

คำว่า It ในตัวอย่างข้างต้นแปลว่า “มัน” และใช้เพื่อระบุถึง Monkey หรือลิง ซึ่งเป็นประธานของประโยค การนำคำสรรพนามมาใช้ในประโยค ช่วยให้เราไม่ต้องกล่าวคำนามที่เป็นประธานซ้ำไปซ้ำมา

กรรมของประโยคภาษาอังกฤษ

Subject + Verb + Object
ประธาน + กริยา + กรรม

Object หรือกรรม คือผู้ถูกกระทำในประโยค ดังนั้นกรรม (Object) มักจะตามหลังคำกริยา (Verb) ซึ่งเป็นการกระทำของประธาน (Subject) ในประโยค ตัวอย่างเช่น

I ate a hamburger
ฉันกินแฮมเบอร์เกอร์ไปชิ้นหนึ่งแล้ว

ในตัวอย่างด้านบนนี้ “hamburger” เป็นกรรมของประโยค เพราะเป็นสิ่งที่ถูกประธานกิน

กรรมในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบง่ายๆ เรียกว่า กรรมตรง (Direct Object) และ กรรมรอง (Indirect Object)

Direct Object — กรรมตรงในภาษาอังกฤษ

Subject + Verb + Direct Object
ประธาน + กริยา + กรรมตรง

กรรมตรงคือกรรมที่ถูกกระทำโดยตรงจากประธาน กรรมส่วนมากที่เราเห็นมักเป็นกรรมตรง หากไม่มีกรรมรองในประโยค กรรมตรงมักจะตามหลังคำกริยาทันที เช่น

Anne bought a flower.
แอนซื้อดอกไม้ 1 ดอก

a flower ถูกแอนซื้อ ดังนั้น a flower เป็นกรรมตรง

Indirect Object — กรรมรองในภาษาอังกฤษ

Subject + Verb + Indirect Object + Direct Object
ประธาน + กริยา + กรรมรอง + กรรมตรง

กรรมรองคือคน, สัตว์ หรือสิ่งของ ที่ไม่ได้ถูกกระทำโดยตรงจากประธาน แต่เป็นคน, สัตว์, สิ่งของที่ได้รับกรรมรองมาจากประธาน เช่น

Anne bought him a flower.
แอนซื้อดอกไม้ 1 ดอกให้เขา

ประโยคนี้ a flower ยังเป็นกรรมตรงอยู่เพราะถูกซื้อจากแอน แอนให้ดอกไม้แก่ him ดังนั้น him จึงเป็นกรรมรอง เพราะได้รับกรรมตรงจากแอน

นอกจากนี้เรายังสามารถเขียนกรรมรองในประโยคตามหลังคำบุพบทภาษาอังกฤษ (Preposition) เช่น for, from, to, at เป็นต้นได้อีกด้วย แต่เมื่อเขียนตามหลังคำบุพบทแล้ว กรรมรองนั้นจะไม่ใช่คำกรรมรองอีกต่อไป แต่จะเรียกว่ากรรมของคำบุพบท (Object of the preposition)

Subject + Verb + Object + Preposition + Object of the preoposition
ประธาน + กริยา + กรรม + คำบุพบท + กรรมของบุพบท

ตัวอย่างเช่น

Anne bought a flower for him.
แอนซื้อดอกไม้ 1 ดอกสำหรับเขา

คำว่า him ในประโยคไม่ใช่กรรมรอง แต่เป็นกรรมของบุพบท เพราะตามหลังคำว่า for

Adjective — คำคุณศัพท์ในประโยคภาษาอังกฤษ

(Adjective) Subject + Verb + (Adjective) Object.
(คุณศัพท์) ประธาน + กริยา + (คุณศัพท์) กรรม

คำคุณศัพท์คือคำที่เข้ามาขยายความ หรืออธิบายคำนาม โดยคำคุณศัพท์มักจะวางอยู่หน้าคำนาม โดยคำนามอาจจะทำหน้าที่เป็นประธานหรือเป็นกรรมในประโยคก็ได้ ตัวอย่างเช่น

A big dog bit a tall man.
หมาตัวใหญ่กัดผู้ชายตัวสูง

คำว่า big เป็น Adjective ใช้ขยายคำนาม dog ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค ส่วนคำว่า tall เป็น Adjective ใช้ขยายคำนาม man ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมตรงของประโยค

Adverb — คำกริยาวิเศษณ์ในประโยคภาษาอังกฤษ

Subject + (Adverb) Verb + Object.
ประธาน + (คำกริยาวิเศษณ์) กริยา + กรรม

คำกริยาวิเศษณ์หรือ Adverb ภาษาอังกฤษใช้ขยายคำกริยา ส่วนมากเราจะพบคำกริยาวิเศษณ์วางไว้หน้าคำกริยา แต่คำกริยาวิเศษณ์นั้นสามารถวางหลังประโยคเลยก็ได้ และยังสามารถวางหลังคำกริยาได้ หากคำกริยานั้นตามด้วยคำบุพบท เช่น

She quickly ate breakfast.
She ate breakfast quickly.
เธอกินอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว

ประโยคด้านบนไม่มีคำบุพบท เราจึงไม่นิยมพูดว่า She ate quickly breakfast. แต่จะนิยมวาง Adverb ไว้หน้าคำกริยาหรือท้ายประโยคแทน ต่อมา มาดูอีกตัวอย่างที่ใช้ Adverb วางหลังคำกริยาที่ตามหลังด้วยคำบุพบทกัน

James slowly turned to Lisa.
James turned slowly to Lisa.
James tuned to Lisa slowly.
เจมส์หันไปทางลิซ่าช้าๆ

Preposition — คำบุพบทในประโยคภาษาอังกฤษ

คำบุพบท Preposition ภาษาอังกฤษ คือคำหรือกลุ่มคำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือวลีคำนาม เพื่อบอกทิศทาง เวลา สถานที่ ความสัมพันธ์ หรือเพื่อกล่าวถึงกรรมของประโยค ตัวอย่างคำบุพบทบางคำเช่น in (ใน), at (ที่), on (บน), of (ของ, สำหรับ), to (ที่) เป็นต้น

ตัวอย่างคำบุพบทในประโยคเช่น

Tell me a story about your childhood.
เล่าเรื่องวัยเด็กของคุณให้ฉันฟังหน่อย

I quit my job after one week.
ฉันลาออกจากงานหลังจากทำมาได้หนึ่งสัปดาห์

คำว่า about เป็นคำบุพบทที่ใช้กล่าวถึงกรรมของประโยค (a story) และคำว่า after เป็นคำบุพบทที่ใช้บอกเวลา (one week)

Conjunction — คำสันธานในประโยคภาษาอังกฤษ

คำสันธานภาษาอังกฤษ คือคำที่ใช้เชื่อมประโยคตั้งแต่ 2 ประโยคเข้าด้วยกัน เหมือนกับการพูดภาษาไทย บางครั้งเราต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์มากกว่า 2 เหตุการณ์ ทำให้เราต้องใช้คำสันธานเข้ามาเชื่อมทั้ง 2 เหตุการณ์ หรือ 2 ประโยคนั้นเข้าด้วยกัน เช่น

I ate a hamburger, but my friend only ate some fries.
ฉันกินแฮมเบอร์เกอร์ไปแล้วหนึ่งชิ้น แต่เพื่อนของฉันกินแค่มันฝรั่งทอดเท่านั้น

คำเชื่อม but ใช้เชื่อม 2 ประโยค คือ

I ate a hamburger.
ฉันกินแฮมเบอร์เกอร์ไปแล้วหนึ่งชิ้น

และ

My friend only ate some fries.
เพื่อนของฉันกินแค่มันฝรั่งทอดเท่านั้น

กาล หรือ Tenses ภาษาอังกฤษ

กาลหรือ Tense ในภาษาอังกฤษ คือช่วงเวลาที่เหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้น โดยแต่ละช่วงเวลา ก็จะใช้กาล หรือ Tense ที่ต่างกันไป เรามักจะคุ้นเคยกับ Present tense ที่เป็นกาลปัจจุบัน และ present continuous Tense ที่คำกริยาต้องมีการผันโดยใส่ -ing ที่หลังคำกริยา และคำกริยาต้องตามด้วย Verb to be (is/am/are) เช่น

I am waiting.
ฉันกำลังรออยู่

ยังมี Tense ในภาษาอังกฤษอื่นๆ ที่เราอาจจะเคยเห็นแต่ไม่คุ้นเคย และมีหลายๆครั้งอาจจะไม่เข้าใจความหมายของมัน เช่น Past Perfect Continuous Tense หรือ Future Perfect Tense เป็นต้น ผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองต้องฝึกพูดและใช้ให้คุ้นเคย ภาษาอังกฤษของเราจึงเป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษา

การใช้ Tenses ในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ Tense จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรือกำลังจะเกิดในอนาคต และเหตุการณ์ไหนเกิดก่อนเกิดหลัง ดังนั้นเมื่อต้องแต่งประโยคภาษาอังกฤษ เราควรเลือกใช้ Tense ที่ถูกต้องเพื่อให้สิ่งที่เราต้องการสื่อสารออกไปมีความถูกต้อง ชัดเจน

หัวข้ออื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแต่งประโยคภาษาอังกฤษ

อัพเดทล่าสุด: