รวม Punctuation หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนภาษาอังกฤษง่ายๆ

เมื่อพูดถึง Punctuation หรือ เครื่องหมายวรรคตอน เราก็พอรู้กันคร่าวๆว่าเครื่องหมายเหล่านี้มี หน้าที่เพื่อให้การแบ่งวรรคตอนหรือประโยคในภาษาอังกฤษให้ไม่สับสน เครื่องหมายวรรคตอนจะช่วยทำให้ผู้อ่านทราบว่างานเขียนนั้นควรจะหยุดอยู่ตรงไหน อะไรคือคำพูด และตรงไหนคือคำชี้แจง เป็นต้น ผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษกับครูภาษาอังกฤษหลายคนอาจคุ้นเคยกับเครื่องหมายวรรคตอนต่างๆ เหล่านี้อยู่บ้าง วันนี้เรามาดูวิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษที่ถูกต้องกัน

ต่อไปนี้คือเครื่องหมายวรรคตอนทั้ง 14 ตัวในภาษาอังกฤษ

  1. Full Stop (.) คือ จุดหรือมหัพภาค
  2. Question Mark (?) คือ เครื่องหมายคำถามหรือปรัศนี
  3. Quotation Marks/Speech Marks (” “) คือ เครื่องหมายคำพูดหรืออัญประกาศ
  4. Apostrophe (‘) คือ อะพอสทระฟีหรือเครื่องหมายย่อ
  5. Comma (,) คือ คอมม่ะหรือจุลภาค
  6. Hyphen (-) คือ เครื่องหมายขีดสั้นหรือยัติภังค์
  7. Dash (en dash (–) em dash(—)) คือ เครื่องหมายขีดกลางที่มีความยาวเท่ากับอักษร N หรือ M
  8. Exclamation Mark (!) คือ เครื่องหมายตกใจหรืออัศเจรีย์
  9. Colon (:) คือ เครื่องหมายโคเลิน
  10. Semicolon (;) คือ เครื่องหมายแยกข้อความหรืออัฒภาค
  11. Parentheses () คือ เครื่องหมายวงเล็บกลมหรือนขลิขิต
  12. Brackets [] คือ เครื่องหมายวงเล็บปีกกา
  13. Ellipsis (…) คือ จุดไข่ปลา
  14. Slash (/) คือ เครื่องหมายทับหรือเส้นแบ่ง

กฎและตัวอย่างการใช้เครื่องหมายวรรคตอน

1. Full Stop (.) คือ เครื่องหมายจุดหรือมหัพภาค

เครื่องหมาย Full Stop หรือในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเรียกว่า Period และสำหรับภาษาไทยเราเรียกว่า จุดหรือมหัพภาค เป็นหนึ่งในเครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ

กฎการใช้ Full Stop :

  • ส่วนใหญ่ใช้วางท้ายประโยคบอกเล่าหรือข้อความที่เสร็จสมบูรณ์
  • เครื่องหมายจุดหรือ Full Stop ใช้วางหลังตัวย่อ
  • Full Stop ยังสามารถใช้วางท้ายหลังกลุ่มคำที่ไม่ใช่ประโยคได้ด้วย

ตัวอย่างการใช้จุด (Full Stop) :

My name’s Beth and I was 18 in July.
ฉันชื่อเบธ เดือนกรกฎาคมฉันอายุครบ 18 ปี

นอกจากนี้ เรายังใช้  .  สำหรับตัวย่ออีกด้วย เช่น

I have an appointment at 10 a.m.
ฉันมีนัดตอนสิบโมงเช้า

2. Question Mark (?) คือ เครื่องหมายคำถามหรือปรัศนี

เราวางเครื่องหมายคำถามหรือ question mark (?) ไว้หลังประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ

ตัวอย่าง :

Do you really want to go there?
เธอต้องการไปที่นั่นจริงๆหรอ

3. Quotation Marks/Speech Marks (” “) คือ เครื่องหมายคำพูดหรืออัญประกาศ

ในภาษาอังกฤษ เราใช้ quotation marks (” “) ใช้เขียนสกัดด้านหน้าและด้านหลังคำพูดหรือข้อเขียนของผู้อื่นที่นำมาอ้างโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ตัวอย่าง :

“I feel I’ve really earned this, ” she said, taking up her mug of tea.
“ฉันรู้สึกว่าฉันสมควรได้อันนี้จริงๆ” เธอบอกพร้อมยกถ้วยชาขึ้นมา

เครื่องหมายคำพูดมีทั้งแบบ ‘เดี่ยว’ หรือแบบ “คู่” ในประเทศอังกฤษใช้ทั้งสองแบบ ในขณะที่ในอเมริกานิยมใช้แบบคู่ แต่ทั้งสองแบบสามารถปรากฏตัวร่วมกันได้

Tommy asked, ‘Do you know where the “Tower Bridge” is?’ 
ทอมมี่ถามว่า ‘คุณรู้ไหมว่า Tower Bridge อยู่ที่ไหน’

เราสามารถใช้เครื่องหมาย คำถามแบบเดี่ยวได้เพื่อแสดงการพูดประโยคคำถาม และใส่เครื่องหมายแบบคู่ไปในส่วน ที่ต้องการเน้น

4. Apostrophe (‘) คือ เครื่องหมายอะพอสทระฟีหรือเครื่องหมายย่อ

เครื่องหมาย apostrophe () หรืออะพอสทระฟีใช้แทนตัวอักษรบางตัวของคำใดๆที่ถูกละเอาไว้ รวมถึงใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของของคำนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นรูปพหูพจน์เมื่อต้องอ้างถึงตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามหากพูดถึงวันทั้ง 7 ในภาษาอังกฤษ เราจะไม่ใส่เครื่องหมาย apostrophe () แต่ให้เติม s ลงไปได้เลย เช่น Wednesdays ไม่ใช่ Wednesday’s ซึ่งมีความเข้าใจผิดกันมาก แม้แต่เจ้าของภาษาเอง

นอกจากนี้ เดือนทั้ง 12 เดือนในภาษาอังกฤษ ก็ใช้ apostrophe ไว้หน้า s หรือ หลัง s ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเวลาเอกพจน์หรือพหูพจน์

กฎการใช้ apostrophe :

(1) ใช้ apostrophe ใช้ลดรูปกริยาช่วยในภาษาอังกฤษ

did not เป็น didn’t

ตัวอย่างเช่น

I didn’t mean to make you mad.
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณโกรธเสียหน่อย

I will เป็น I’ll

ตัวอย่างเช่น

I’ll handle this for you. 
ฉันจะจัดการมันให้คุณเอง

 (2) ใช้เครื่องหมาย ’ ในการแสดงความเป็นเจ้าของโดยการใส่ ’s เข้าไป

ตัวอย่าง:

We will hang out at John’s place.
เราจะไปนั่งเล่นที่บ้านของจอห์น

ถ้าสิ่งที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของมี s เป็นตัวสะกดอยู่แล้ว ก็ใส่แค่ ’

ตัวอย่างเช่น

The princess’ dress looks so gorgeous. 
ชุดของเจ้าหญิงสวยมากเลย

5. Comma (,) คือ เครื่องหมายคอมม่า, จุลภาคหรือลูกน้ำ

เครื่องหมาย comma (,) หรือจุลภาค ใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างแนวคิดหรือองค์ประกอบสองอย่างภายในประโยค และยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก เช่น นำไปใช้คั่นจำนวนหรือตัวเลขในภาษาอังกฤษตั้งแต่หลักพันขึ้นไป รวมทั้งใช้ในการเขียนวันที่ได้อีกด้วย

กฎและตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่า:

(1) ใช้คอมม่าในการคั่นอนุประโยค (clauses) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีคำเชื่อมหรือ conjunction ในภาษาอังกฤษด้วย

ตัวอย่าง

If you were me, you would be upset too. 
ถ้าเธอเป็นฉัน เธอก็ต้องกลุ้มเหมือนกันแหละ

(2) เอาไว้ใช้ในการแบ่งวลีหรือคำ เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น (สังเกตว่าคอมม่าจะไม่วางอยู่หลังคำสุดท้ายในชุดของคำนั้นๆ)

ตัวอย่าง: 

I love singing, dancing, and playing guitar. 
ฉันชอบร้องเพลง เต้น และเล่นกีต้าร์

(3) เราใช้คอมม่าเพื่อแยกส่วนเกริ่นนำออกจากส่วนอื่นๆของประโยค

ตัวอย่าง: 

As the day came to an end, the firefighters put out the last spark.
เมื่อหมดวัน, นักดับเพลิงก็ดับประกายไฟสุดท้ายลง

(4) ใช้คอมม่าเพื่อคั่นคำว่า yes หรือ no ในประโยค

ตัวอย่าง: 

No, thank you.
ไม่ค่ะ (ครับ), ขอบคุณ

(5) ใช้คอมม่าเพื่อแยกคำถามแบบย่อ หรือ Question Tag ออกจากส่วนที่เหลือของประโยค

ตัวอย่าง: 

She is your sister, isn’t she?
เธอเป็นพี่สาวของคุณ, ใช่ไหม?

(6) ใช้คอมม่าเพื่อระบุตัวบุคคลที่พูดถึงโดยตรง

ตัวอย่าง: 

Is that you, Mary?
นั่นคุณใช่มั้ย, แมรี่?

(7) เติมคอมม่าเมื่อใช้ประโยคกริยาวลี

ตัวอย่าง: 

Walking slowly, I could see the beautiful flowers.
เดินช้าๆก็ทำให้มองเห็นดอกไม้สวยๆ

(8) ใช้คอมม่าเพื่อแยกส่วนประกอบของวันที่

ตัวอย่าง: 

Tuesday, May 2, 2016, was when I graduated.
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2559 เป็นวันที่ฉันเรียนจบ

(9) ใช้เวลาเขียน non-defining relative clause ที่บอกถึงข้อมูลเพิ่มเติมที่ไม่สำคัญ

ตัวอย่าง:

The accident, which happened 5 minutes ago, was caused by that reckless driver.
อุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นเมื่อห้านาทีที่แล้ว เกิดขึ้นเพราะคนขับรถคนนั้นขับรถอย่างประมาท

6. Hyphen (-) คือ เครื่องหมายขีดสั้นหรือยัติภังค์

เครื่องหมายขีดสั้น หรือ hyphen () คนส่วนใหญ่มักสับสนกับเครื่องหมาย Dash หรือเครื่องหมายขีดกลาง แต่ทั้งสองอย่างนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะ hyphen ใช้เชื่อมคำสองคำเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความหมายใหม่ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ในพจนานุกรมว่าคำใดบ้างที่ต้องมี Hyphen คั่น

มีวิธีใช้ hyphen ดังต่อไปนี้

(1) ใช้ hyphen เพื่อเชื่อมคำประสมตั้งแต่สองคำขึ้นไปเข้าด้วยกัน ซึ่งไม่สามารถแบ่งคำด้วยการเว้นวรรคได้

ตัวอย่าง:

My eight-year-old boy loves reading.
ลูกชายอายุแปดขวบของฉันชอบอ่านหนังสือมาก

I work part-time.
ฉันทำงานล่วงเวลา

Self-consciousness
ความระมัดระวังตัวเอง

Nineteenth-century history
ประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่สิบเก้า

Old-furniture salesman
พนักงานขายเฟอร์นิเจอร์เก่า

(2) เชื่อมคำอุปสรรคด้านหน้ากับคำเข้าด้วยกัน

ตัวอย่าง: 

These things happened before the pre-enlightenment era. 
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนยุคเรืองปัญญา

(3) To indicate word breaks

ตัวอย่าง: 

Unlike what some people might think, the twentieth-century was very different from other preceding time periods.
อาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่บางคนคิดไว้ ยุคศตวรรษที่ 20 นั้นแตกต่างจากช่วงเวลาอื่นก่อนหน้านี้มาก

7. Dash (en dash (–) และ em dash(—)) คือ เครื่องหมายแดชหรือขีดกลางที่มีความยาวเท่ากับอักษร N หรือ M

เครื่องหมาย dash ใช้ขีดคั่นระหว่างพยางค์ คำ วลีหรือประโยค

เครื่องหมายแดชหรือขีดกลางมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ ได้แก่ en dash และ em dash เครื่องหมาย en dash จะใช้ขีดคั่นระหว่างคำเพื่อแสดงระยะห่างหรือแสดงการเชื่อมโยงของคำ ส่วนเครื่องหมาย em dash นั้นสามารถใช้แทนเครื่องหมายคอมม่าได้ แดชหรือขีดกลางนี้ยังใช้เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าคำหรือข้อความนั้นไม่ได้มีความสำคัญต่อความหมายของข้อความนั้น และโดยปกติแล้วแดชจะใช้แทนที่ในตำแหน่งเดียวกันกับเครื่องหมายคอมม่า

(1) En dash (–) คือ เครื่องหมายขีดกลางที่มีความยาวเท่ากับอักษร N

เป็นเครื่องหมายขีดกลางที่มีความกว้างมากกว่าเครื่องหมายยัติภังค์หรือขีดสั้นเล็กน้อย เครื่องหมาย en dash (–) ใช้เมื่อต้องการแยกคำ วลี ออกมาจากประโยค เพื่อให้ส่วน นั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยต้องเว้นวรรคหน้าหลัง dash ด้วย

ตัวอย่าง:

1880 – 1945
ปีคริสตศักราชที่หนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบถึงหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบห้า

Princeton – New York trains
รถไฟจากพริ๊นซ์ตันถึงนิวยอร์ค

(2) Em dash (—) คือ เครื่องหมายขีดกลางที่มีความยาวเท่ากับอักษร M

เป็นเครื่องหมายขีดกลางที่มีความยาวเป็นสองเท่าของ en dash (–) สำหรับ em dash () นั้นเราสามารถใช้แทนที่เครื่องหมายคอมม่า, วงเล็บหรือโคลอนได้ เพื่อให้ข้อความหรือประโยคนั้นอ่านได้ง่ายขึ้น หรือใช้เพื่อเน้นสรุปของประโยค

ตัวอย่าง: 

She gave him her answer — No!
เธอตอบเขาไปว่า — ไม่!

เปลี่ยนเทียบความแตกต่างระหว่าง dash และ hyphen ที่สังเกตง่ายๆ คือ hyphen จะไม่เว้นระยะระหว่างคำ 2 คำ (เพราะเป็นการสร้างคำใหม่ นับว่าเป็นคำเดียวแล้ว) ส่วน dash จะต้องมีการเว้นวรรคหน้าและหลัง dash

ตัวอย่างเช่น

She ignores all remarks – good or bad ones – which makes her seem like a self-righteous person.
เธอไม่สนใจข้อคิด เห็นใดๆเลย ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี และนั่นมันทำให้เธอดูเป็นคนมั่นใจว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียว

8. Exclamation Mark (!) คือ เครื่องหมายตกใจหรืออัศเจรีย์

เครื่องหมายตกใจหรือ exclamation mark ใช้เพื่อแสดงการเน้นคำหรือข้อความ เราสามารถใช้วางไว้ตรงกลางหรือท้ายประโยคก็ได้ หากวางไว้ท้ายประโยคเราสามารถใช้แทนจุดหรือ Full stop ได้เลย

เรามักใช้ exclamation mark (!) เพื่อเน้นการแสดงอารมณ์หรือการออกคำสั่ง

ตัวอย่าง:

Stop!
หยุด!

What a lovely view you have here!
มุมมองของคุณน่ารักอะไรอย่างนี้!

That’s fantastic!
น่าอัศจรรย์มาก!

Johnny, don’t touch that!
จอห์นนี่, อย่าจับมันนะ!

Aaarrgh!
อ๊ากกกก!

9. Colon (:) คือ เครื่องหมายโคเลิ่น

เครื่องหมาย colon (:) มีไว้เพื่อขยายความของประโยคที่เขียนก่อนหน้า

ตัวอย่างเช่น

I know why I failed this test: lack of preparation. 
ฉันรู้ว่าทำไมฉันถึงสอบตก เพราะไม่ได้เตรียมตัวมากพอ

นอกจากนี้ ยังใช้ในการแสดงเวลาก็ได้

ตัวอย่างเช่น

The train leaves at 6:30 a.m.
รถไฟออกตอน หกโมงครึ่งในตอนเช้า

10. Semicolon (;) คือ เครื่องหมายแยกข้อความหรืออัฒภาค

เครื่องหมาย semicolon (;) เชื่อมสองประโยคที่มีความเกี่ยวข้องกันมากๆ เข้าด้วยกัน แทนที่จะใช้ Full Stop ก็ใช้ตัวนี้แทน เพราะเครื่องหมาย ; ใช้เชื่อมโยงข้อความสองข้อความได้ดีกว่าการใช้จุด Full stop

ตัวอย่าง:

I don’t want to go back home now; the traffic is so bad.
ฉันไม่อยากกลับบ้าน ตอนนี้เลย เพราะรถมันติดเกินไป

หรือใช้แทน Comma ในการเชื่อมวลีที่ซับซ้อนเข้าด้วยกันเพราะในวลีนั้นมี Comma อยู่แล้วเพื่อ ป้องกันความสับสน

ตัวอย่างเช่น

I have two options for you; finish this before 2, and go to this meeting for me; or prepare yourself for this meeting, and drop everything you’re doing right now.
ฉันมีทางเลือกให้สองทาง: ทำนี่ให้เสร็จก่อนบ่ายสองแล้วเข้าประชุมแทนฉัน หรือ เตรียมตัวประชุมตั้งแต่ตอนนี้แล้วหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่

11. Parentheses ( ) คือ เครื่องหมายวงเล็บกลมหรือนขลิขิต

เครื่องหมาย Parenthesis ( ) หรือวงเล็บ เราใช้วงเล็บเพื่อเพิ่มเติมข้อมูล เข้าไปในประโยค ที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก และใช้ในการเขียนที่ไม่เป็นทางการ แม้ว่าเราจะตัดข้อมูลส่วนที่อยู่ในวงเล็บออกไป ความหมายของประโยคก็ยังสมเหตุสมผลอยู่

ตัวอย่าง: 

She will fly to New York (with two stopovers) and will come back at the end of the month.
เธอจะ บินไปนิวยอร์ค (โดยต้องเปลี่ยนเครื่องสองรอบ) และจะกลับมาตอนสิ้นเดือน

12. Brackets [ ] คือ เครื่องหมายวงเล็บปีกกา

เครื่องหมาย [ ] มักใช้เวลาที่ผู้เขียนเขียนข้อมูลเติมลงไปนอกเหนือจากข้อมูลต้นฉบับ

ตัวอย่างเช่น

The pedestrian said he [the robber] escaped through this small alley.
คนเดินถนนกล่าวว่าเขา [หัวขโมย] หนีไปทางซอยเล็กๆ นี้

13. Ellipsis (…) คือ จุดไข่ปลา

เครื่องหมาย ellipsis เป็นเครื่องหมายจุดสามจุด เรียกว่า จุดไข่ปลา บางครั้งอาจจะใช้ดอกจันสามอันติดกัน หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า asterisks (***) แทนก็ได้ สัญลักษณ์นี้ใช้เมื่อต้องการละตัวอักษรหรือคำบางคำไว้ ในหลายๆกรณี เราจะใช้จุดไข่ปลาเพื่อตัดข้อความที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องออกไป ซึ่งไม่ส่งผลต่อความหมายของข้อความโดยรวม

เรามักใช้จุดไข่ปลาแทนบางส่วนของข้อความที่ละเอาไว้

ตัวอย่าง:

To be continued…
โปรดติดตามตอนต่อไป…

You’ll never believe what I saw…
คุณจะไม่มีวันเชื่อว่าฉันได้เห็นอะไร…

14. Slash (/) คือ เครื่องหมายทับหรือเส้นแบ่ง

เครื่องหมาย slash บางครั้งเรียกว่า forward slash , virguleหรือ oblique dash ในภาษาไทยเรียกว่าเครื่องหมายทับ เป็นเครื่องหมายที่มีประโยชน์หลายอย่าง เราสามารถใช้เครื่องหมายทับเพื่อคั่นหรือแบ่งบรรทัดในเพลงหรือบทกวีเมื่อมันเขียนเป็นบรรทัดต่อเนื่องกัน เครื่องหมายทับนี้ยังสามารถใช้แทนคำว่า “หรือ” และใช้แสดงความคิดหรือข้อความสองอย่างที่ขัดแย้งกันได้ด้วย

กฎและตัวอย่างการใช้ slash :

(1) ใช้เครื่องหมายทับเพื่อแบ่งคำหรือข้อความในชื่อเว็บไซต์ และชื่อไฟล์ของบางโปรแกรมในคอมพิวเตอร์

ตัวอย่าง: 

http://www.example.com/
(ตัวอย่างชื่อเว็บไซต์)

(2) ใช้เครื่องหมายทับกับเศษส่วน

ตัวอย่าง: 

1/3 = one-third
เศษหนึ่งส่วนสาม

(3) ใช้เครื่องหมายทับเพื่อแยกวันเดือนปีในการเขียนวันที่

ตัวอย่าง:

01/03/24
วันที่ 1 เดือนมีนาคม ค.ศ. 2024

(4) ใช้เครื่องหมายทับเพื่อย่อคำ

ตัวอย่าง

w/o = without
ปราศจาก

n/a or N/A = not applicable or not available
ใช้การไม่ได้หรือไม่สามารถใช้ได้

R/C = radio control
วิทยุควบคุม

(5) ใช้เครื่องหมายทับแทนคำว่า “ต่อ” หรือ “per” ในหน่วยการวัด

ตัวอย่าง: 

80 miles/hour = 80 miles per hour
80 ไมล์ต่อชั่วโมง

(6) ใช้เครื่องหมายทับเพื่อคั่นบทกวีหรือคำคล้องจองในข้อความ

ตัวอย่าง: 

Twinkle, twinkle, little star, / How I wonder what you are. / Up above the world so high, / Like a diamond in the sky.
วิบวับพริบพราวดวงดาวระยิบระยับ / ฉันสงสัยว่าคุณคือใคร / สูงขึ้นไปบนท้องนภา / เป็นประกายดั่งเพชรบนท้องฟ้า

(7) ใช้เครื่องหมายทับแสดงอีกทางเลือกในประโยค

ตัวอย่าง: 

Please press your browser’s Refresh/Reload button.
กรุณากดปุ่มรีเฟรช/โหลดซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์บนเว็บไซต์

ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันและภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ

ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษแบบอเมริกันและภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่เครื่องหมายวรรคตอนก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง

สัญลักษณ์ของเครื่องหมายวรรคตอนภาษาอังกฤษแบบอังกฤษภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน
 . a full stop (จุด)a period (จุด)
an exclamation mark (อัศเจรีย์)an exclamation point (อัศเจรีย์)
( )brackets (วงเล็บ)parentheses (วงเล็บ)
[ ]square brackets (วงเล็บปีกกา)brackets (วงเล็บปีกกา)
เวลา11.30 (11 นาฬิกา 30 นาที)11:30 (11 นาฬิกา 30 นาที)
คำนำหน้าMr, Ms, หรือ Mrs (นาย, นางสาว, นาง)Mr., Ms., Mrs.(นาย, นาง, นางสาว)
เครื่องหมายคำพูด‘I can’t go out tomorrow’, John sighed, ‘because, as my dad said, “you’ll go out when hell freezes over”’.

‘พรุ่งนี้ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้’, จอห์นถอนหายใจ, ‘เพราะอย่างที่พ่อของฉันพูด “ฉันจะไม่มีวันออกได้ออกไปข้างนอก”‘.
“I can’t go out tomorrow,” John sighed, “because, as my dad said, ‘you’ll go out when hell freezes over.’”

“พรุ่งนี้ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้,” จอห์นถอนหายใจ, “เพราะอย่างที่พ่อของฉันพูด, ‘ฉันจะไม่มีวันออกได้ออกไปข้างนอก’”

เราจะเห็นว่าเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์อื่น เช่น รากที่สองหรือรูทภาษาอังกฤษ, เครื่องหมายแอบโซลูทหรือค่าสัมบูรณ์ หรือแม้แต่เลขยกกำลังภาษาอังกฤษ ถึงแม้จะอ่านเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่จัดว่าเป็นเครื่องหมายวรรคตอน เป็นเพียงเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์เท่านั้น

เครื่องหมายวรรคตอนภาษาอังกฤษ หลายๆ ครั้งสร้างความสับสนให้แก่ผู้ใช้ภาษาหรือแม้แต่เจ้าของภาษาเอง ปัจจุบันมีเครื่องมือหรือเว็บสำหรับตรวจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมาก็มาย ซึ่งจะช่วยตรวจสอบและแก้ไขไวยากรณ์รวมถึงการใช้เครื่องหมายวรรคตอนด้วย

อัพเดทล่าสุด: