สรุปการเรียนคำนามภาษาอังกฤษที่ง่ายที่สุด อย่างละเอียด

การเรียนรู้คำนามในภาษาอังกฤษจะช่วยให้ผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษเข้าใจคำนามและหน้าที่ของคำนามที่ใช้ในการสร้างประโยคภาษาอังกฤษมากขึ้น การเรียนรู้คำนามเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้เรื่อง คำและหน้าที่ของคำ (Parts of Speech) เราสามารถพบคำนามได้ทั่วไป และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราล้วนเป็นคำนามทั้งสิ้น 

คำนามคืออะไร?

ในภาษาอังกฤษ คำนาม หมายถึง คำที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่หรือความคิด คำนามในภาษาอังกฤษมักทำหน้าที่เป็นประธาน กรรมตรง และกรรมรองในประโยค แต่ก็ยังสามารถทำหน้าที่อื่นได้ เช่น ขยายประธาน หรือใช้เป็นคำคุณศัพท์

ตัวอย่างของคำนาม

  • สิ่งมีชีวิต เช่น Somsak (นายสมศักดิ์) cat (แมว) teacher (ครู) 
  • สถานที่ เช่น beach (ชายหาด) street (ถนน) school (โรงเรียน)
  • สิ่งของ เช่น car (รถ) phone (โทรศัพท์) games (เกมส์)
  • สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น think (ความคิด) ความรัก (love) process (กระบรวนการ)

ประเภทของคำนาม

ประเภทของคำนามในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ คำนามทั่วไป และคำนามเฉพาะ

คำนามทั่วไป

คำนามทั่วไป (Common noun) หมายถึง คำเรียกคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ทั่วไป ที่ไม่เฉพาะเจาะจงชื่อของสิ่งๆนั้น เช่น

  • park (สวนสาธารณะ)
  • bridge (สะพาน)
  • cat (แมว)
  • teacher (ครู)
  • boy (เด็กชาย)

จะเห็นได้ว่าเมื่อเราใช้คำนามทั่วไป เราจะไม่ทราบว่าสิ่งที่เรากล่าวถึงคืออันไหนแน่ เช่น เราไม่ทราบว่าเป็นสวนสาธารณะใด สะพานใด แมวตัวไหน ครูท่านใด เด็กชายคนไหน เป็นต้น

คำนามเฉพาะ

คำนามเฉพาะ (Proper noun) หมายถึงคำนามที่กล่าวถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจง อาจเรียกได้ว่าคำนามเฉพาะคือชื่อเฉพาะของสิ่งนั้นๆ เช่น

  • Suan Luang Park (สวนสาธารณะสวนหลวง)
  • Rama 9 bridge (สะพานพระรามเก้า)
  • Daang the cat (แมวชื่อด่าง)
  • teacher Somsri (คุณครูสมศรี)
  • Noi the boy (เด็กชายน้อย)

คำนามนับได้หรือนับไม่ได้

สิ่งของที่นับได้ เรียกว่า คำนามนับได้ (Countable Noun) เช่น แก้ว รถ คน ดินสอ เป็นต้น ในขณะที่คำนามอีกจำพวกหนึ่งจะนับไม่ได้ เรียกว่า คำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun) เช่น น้ำ ทราย เส้นผม ลม แสงแดง เป็นต้น

คำนามที่นับไม่ได้คือสิ่งที่ไม่สามารถนับได้เลย ยกเว้นเอาใส่ภาชนะ เช่น น้ำหนึ่งแก้ว เราไม่ได้นับน้ำ แต่เรานับแก้วที่บรรจุน้ำอยู่ อีกกรณีหนึ่งคือสิ่งที่จริงๆแล้วนับได้ และยากต่อการนับ เช่น ทราย เราสามารถนับทรายทีละเม็ดได้ แต่มันมีขนาดเล็กมาก และมีจำนวนเยอะเกินกว่าจะนับไหว จึงจัดเป็นคำนามนับไม่ได้ เป็นต้น

คำนามที่นับได้ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ ส่วนคำนามที่นับไม่ได้ จะอยู่ใช้ในรูปของเอกพจน์เสมอ

พจน์ของคำนาม

พจน์ของคำนาม คือ การแสดงจำนวนของคำนามว่ามีมากกว่า 1 หรือไม่ หากคำนามมีเพียงแค่จำนวนเดียว เช่น รถ 1 คัน แมว 1 ตัว ครู 1 คน เราจะเรียกคำนามเหล่านี้ว่า คำนามเอกพจน์ (Singular noun) นอกจากนี้คำนามนับไม่ได้ทั้งหมดยังจัดให้เป็นคำนามเอกพจน์อีกด้วย

คำนามที่มีตั้งแต่ 2 จำนวนขึ้นไป เช่น รถ 2 คัน แมว 6 ตัว ครู 3 คน เป็นต้น จัดว่าเป็น คำนามพหูพจน์ (Plural noun)

การเข้าใจพจน์ของคำนามเป็นเรื่องสำคัญเพราะคำนามเอกพจน์จะใช้คำกริยาเอกพจน์ ส่วนคำนามที่เป็นพหูพจน์ก็จะใช้คำกริยาพหูพจน์

การเปลี่ยนพจน์ของคำนาม

เพราะจำนวนของคำนามมีการเปลี่ยนแปลงได้ และส่งผลต่อคำกริยาที่ใช้กับคำนามนั้น ภาษาอังกฤษจึงมีกฏการเปลี่ยนพจน์ของคำนามง่ายๆ ดังนี้

  • เติม -s ต่อท้ายคำนาม
  • เติม -es ต่อท้ายคำนาม หากลงท้าย -o, -s, -is, -ss, -sh, -ch, -x หรือ -z
  • หากคำนามลงท้ายด้วย -f หรือ -fe ให้เปลี่ยนคำลงท้ายนั้นเป็น -ve ก่อนเติม -s
  • หากคำนามลงท้ายด้วย -y และหน้า -y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน -y เป็น -i แล้วเติม -es
  • หากคำนามลงท้ายด้วย -y และหน้า -y เป็นสระ ให้เติม -s หลัง -y
  • หากคำนามลงท้ายด้วย -us ให้เปลี่ยน -us เป็น -i
  • หากคำนามลงท้ายด้วย -on ให้เปลี่ยน -on เป็น -a

กฏการเปลี่ยนพจน์ของคำนามไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องจำให้ได้ หากคุณพบว่าการเปลี่ยนพจน์คำนามเป็นเรื่องยาก คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษได้ ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับกฏการเปลี่ยนพจน์ของคำ หรือการขอแบบฝึกหัดมาทำเพื่อช่วยให้เข้าใจคำนามมากขึ้น เป็นต้น

การสังเกตคำนามในประโยค

เมื่อคุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษ คุณควรสามารถที่จะสังเกตุประเภทของคำในประโยคภาษาอังกฤษได้ ซึ่งการสังเกตุคำนามในประโยคภาษาอังกฤษมีวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

คำนามมักจะมีคำนำหน้านาม เช่น the, a หรือ an นำหน้าคำนามในประโยค เช่น

  • A cat (แมว 1 ตัว)
  • An ant (มด 1 ตัว)
  • The car (รถ 1 คัน)

 แต่บางครั้งเราจะเห็นคำคุณศัพท์หรือคำอื่นบางคำนำหน้าคำนาม เช่น

  • This girl (เด็กผู้หญิงคนนี้)
  • That bag (กระเป๋าใบนั้น)

นอกจากนั้นคำนามที่เป็นคำนามเฉพาะ จะสังเกตุได้จากตัวอักษรที่ขึ้นต้นจะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น ชื่อบุคคล ชื่อโรงเรียน ชื่อสถานที่ เป็นต้น

  • Emily (เอมิลี่)
  • Suan Luang (สวนหลวง)
  • United Kingdom (ประเทศอังกฤษ)

เมื่อคุณเริ่มเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน คุณจะพบว่าหลังจากเรียนตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนคำนามในภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องยาก และยังคล้ายคลึงกับคำนามในภาษาไทยอีกด้วย ภาษาไทยและภาษาอังกฤษยังมีหัวข้อที่คล้ายคลึงกันอีกหลายหัวข้อ เช่น คำกริยา คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ หรือแม้แต่เรื่อง Tense ภาษาอังกฤษ ก็คล้ายคลึงกับการเรียนเรื่อง “กาล” ในภาษาไทย นอกจากนี้หากคุณอยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง คุณควรทำแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษให้มากสำหรับการเรียนอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ

อัพเดทล่าสุด: