เดือน 12 เดือนภาษาอังกฤษ พร้อมตัวย่อ คำอ่าน ฟังเสียง

การบอกวันเดือนปีภาษาอังกฤษเป็นเนื้อหาการเรียนภาษาอังกฤษคอร์สพื้นฐานที่เราจะได้เรียนหลังจากการเรียนบทเรียนง่ายๆ อย่างการกล่าวทักทายภาษาอังกฤษ วิธีนับเลขภาษาอังกฤษ การตอบสบายดีภาษาอังกฤษและการกล่าวขอบคุณภาษาอังกฤษ เป็นต้น

หากคุณยังไม่ได้เรียนเรื่องวันทั้ง 7 วันในสัปดาห์ภาษาอังกฤษ คุณควรเรียนหัวข้อวันในสัปดาห์ก่อน เพราะจำง่ายกว่า และมีจำนวนคำที่ต้องจำน้อยกว่าด้วย

12 เดือนในภาษาอังกฤษ และตัวย่อเดือน

ภาษาอังกฤษทั้ง 12 เดือน และมีคำย่อเดือนเหมือนภาษาไทยที่ย่อคำเรียกเดือนให้สั้นลงเพื่อประหยัดพื้นที่ และช่วยให้เขียนได้เร็วขึ้น เช่น มกราคม ย่อเป็น ม.ค. เป็นต้น

เดือนแปลภาษาอังกฤษตัวย่อคำอ่าน
มกราคมJanuaryJanแจนูอารี
กุมภาพันธ์FebruaryFebเฟะบูอารี
มีนาคมMarchMarมาร์ช
เมษายนAprilAprเอพริว
พฤษภาคมMayMayเมย์
มิถุนายนJuneJunจูน
กรกฏาคมJulyJulจูไล
สิงหาคมAugustAugออกัสท์
กันยายนSeptemberSepเซพเทมเบอะ
ตุลาคมOctoberOctออคโทเบอะ
พฤศจิกายนNovemberNovโนเวมเบอะ
ธันวาคมDecemberDecดีเซมเบอะ

ฤดูกาลภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษมีคำบอกฤดูกาล เนื่องจากประเทศหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก มักมีสภาพอากาศที่รุนแรงกว่าประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนตลอดปี สภาพอากาศในหลายประเทศจะเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี เช่น มีทั้งช่วงหน้าร้อนที่ไม่ยาวนัก หน้าหนาวที่หนาวมากจนหิมะตก ฤดูใบไม้ร่วงที่มีลมแรง หรือฤดูฝนที่ในหลายเมืองมีปัญหาพายุเข้าในช่วงนี้

ฤดูภาษาอังกฤษวิธีอ่านภาษาไทยคำแปลภาษาไทย
Summer ซัมเมอะฤดูร้อน
Winterวินเทอะฤดูหนาว
Springสปริงฤดูใบไม้ผลิ
Autumnออทัมน์ฤดูใบไม้ร่วง
The rainsเดอะ เรนส์ฤดูฝน

ที่มาของ 12 เดือนภาษาอังกฤษ

เดือนทั้ง 12 เดือนในภาษาอังกฤษมีการตั้งชื่อตามที่มาของเทพเจ้าในอดีต หรือวันสำคัญทางศาสนาในอดีต จากนั้นจึงถูกใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน การตั้งชื่อเดือนในภาษาอังกฤษและภาษาไทย จะต่างจากเดือนในภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่น เพราะเดือนในภาษาจีนและเดือนภาษาญี่ปุ่นจะเป็นการตั้งชื่อโดยเรียกตามลำดับที่ของเดือนเท่านั้น

เดือนมกราคม ภาษาอังกฤษ — January

January
(แจนูอารี่)

เดือนมกราคม ในภาษาอังกฤษ คือ January ตั้งชื่อตามเทพเจนัส (Janus) ซึ่งปรากฎอยู่ในเทพปกรณัมโรมัน และได้รับการเล่าขานว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ประตูทวารและทางเข้าออก และยังมีฐานะเป็นเทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นและการเปลี่ยนแปลงด้วย เทพเจนัสมีสองใบหน้า หน้าหนึ่งมองไปยังอดีต อีกหน้าหนึ่งมองไปยังอนาคต ในสมัยโรมันโบราณ ประตูของวิหารเจนัสจะเปิดเฉพาะในยามสงครามและปิดเมื่อยามสงบเท่านั้น

เดือนกุมภาพันธ์ ภาษาอังกฤษ — February

February
(เฟะบูอารี่)

เดือนกุมภาพันธ์ ในภาษาอังกฤษ คือ February มีต้นกำเนิดมาจากคำว่า ”februa” ในภาษาละตินที่มีความหมายว่า ชำระล้างหรือทำให้บริสุทธิ์ เดือน Februarius ตามปฏิทินโรมันนั้นตั้งชื่อตามเทศกาล Februalia ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งการชำระล้าง เฉลิมฉลองความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้

เดือนมีนาคม ภาษาอังกฤษ — March

March
(มาร์ช)

เดือนมีนาคม ในภาษาอังกฤษ คือ March ตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งสงครามที่รู้จักในนาม เทพมาร์ส (Mars) เนื่องจากในเดือนมีนาคมของทุกปีเป็นช่วงเวลาที่ปฏิบัติการทางทหารและการทำสงครามเพื่อขยายอาณาจักรของชาวโรมันได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากติดช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน และยังมีเทศกาลหลายอย่างเกิดขึ้นในเดือนนี้ซึ่งก็รวมถึงฤดูกาลแห่งการหาเสียงเลือกตั้งด้วย

เดือนเมษายน ภาษาอังกฤษ — April

April
(เอพริว)

เดือนเมษายน ในภาษาอังกฤษ คือ April มีรากศัพท์มาจากคำว่า aperio ซึ่งเป็นภาษาละติน หมายถึง “ผลิบาน, เบ่งบาน, แตกหน่อ” เนื่องจากในเดือนนี้พืชพรรณต่างๆเริ่มเจริญเติบโต และสำคัญที่สุด คือ เดือนเมษายนยังเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย

เดือนพฤษภาคม ภาษาอังกฤษ — May

May
(เมย์)

เดือนพฤษภาคม ในภาษาอังกฤษ คือ May ตั้งชื่อตามเทพธิดาไมอา (Maia) ผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินและความเจริญเติบโต ว่ากันว่าเธอคือผู้ดูแลพืชผลให้เจริญงอกงาม ชื่อของเธอจึงอธิบายช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิได้ดี นอกจากนี้คำว่า May ยังมีรากศัพท์มาจากคำว่า maiores ในภาษาละตินที่มีความหมายว่า “ผู้อาวุโส” อีกด้วย

เดือนมิถุนายน ภาษาอังกฤษ — June

June
(จูน)

เดือนมิถุนายน ในภาษาอังกฤษ คือ June ตั้งชื่อตามเทพธิดาโรมันนามว่า จูโน่ (Juno) ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพีแห่งการวิวาห์ การครองคู่และความผาสุกของสตรี คำว่า June ยังมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า juvenile ที่แปลว่า “คนหนุ่มสาว” อีกด้วย

เดือนกรกฎาคม ภาษาอังกฤษ — July

July
(จูไล)

เดือนกรกฎาคม ในภาษาอังกฤษ คือ July ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar)รัฐบุรุษผู้ย่ิงใหญ่ชาวโรมัน ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง 100-40 ปีก่อนคริสตกาล หลังการเสียชีวิตของเขา ในช่วงเวลา 46 ปีก่อนคริสตกาล ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจูเลียส ซีซาร์ คือ การพัฒนาปฏิทินสุริยคติแบบจูเลียน โดยความช่วยเหลือของโซซีเจนเนส (Sosigenes) นักดาราศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งถือเป็นรากฐานของปฏิทินกรีกอเรียน (Gregorian) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

เดือนสิงหาคม ภาษาอังกฤษ — August

August
(ออกัสท์)

เดือนสิงหาคม ในภาษาอังกฤษ คือ August ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่จักรพรรดิโรมันพระองค์แรก (และยังเป็นหลานชายของจูเลียส ซีซาร์) นามว่า ออกุสตุส ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง 63 ปีก่อนคริสกาล – คริสตศตวรรษที่ 14 คำว่า ”Augustus“ มาจากคำในภาษาละติน คือคำว่า augustus ซึ่งมีความหมายว่า ผู้สูงศักดิ์ สง่างาม และน่ายกย่อง

เดือนกันยายน ภาษาอังกฤษ — September

September
(เซ็พเท็มเบอะ)

เดือนกันยายน ในภาษาอังกฤษ คือ September ซึ่งมาจากคำว่า septem เป็นภาษาละติน มีความหมายว่า “เจ็ด” เนื่องจากเป็นเดือนที่เจ็ดของปฏิทินโรมันในยุคแรก

เดือนตุลาคม ภาษาอังกฤษ — October

October
(อ็อกโทเบอะ)

เดือนตุลาคม ในภาษาอังกฤษ คือ October เป็นเดือนที่แปดของปีตามปฏิทินโรมันโบราณ ชื่อเดือนมีรากศัพท์มาจากคำว่า octo ซึ่งเป็นภาษาละตินที่หมายถึงเลขแปด เมื่อชาวโรมันเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินแบบ 12 เดือน มีความพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อตามจักรพรรดิหลายพระองค์ แต่สุดท้ายแล้วชื่อ October ก็ยังติดปากอยู่จนถึงปัจจุบัน

ในภาษาอังกฤษโบราณ เดือนนี้จะเรียกว่า Winmonath แปลว่า “เดือนแห่งไวน์” หมายความว่าเป็นช่วงเวลาแห่งปีที่มีการทำไวน์ ชาวอังกฤษจะเรียกว่า “Winterfylleth“ หรือ พระจันทร์เต็มดวงแห่งฤดูหนาว (Winter Full Moon) พวกเขาถือว่าพระจันทร์เต็มดวงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาว จากความรู้เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่เล่าต่อกันมา ว่ากันว่าหากเดือนตุลาคมมีนำ้ค้างแข็งและลมพัดแรง เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ก็จะอบอุ่น ไม่หนาวจัด

เดือนพฤศจิกายน ภาษาอังกฤษ — November

November
(โนเว็มเบอะ)

เดือนพฤศจิกายน ในภาษาอังกฤษ คือ November มีต้นกำเนิดมาจากคำว่า novem หรือ “เก้า” ในภาษาละติน เพราะเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่แปดในปฏิทินโรมันยุคแรกๆ

เดือนธันวาคม ภาษาอังกฤษ — December

December
(ดีเซ็มเบอะ)

เดือนธันวาคม ในภาษาอังกฤษ คือ December มาจากคำว่า decem ในภาษาละติน ที่แปลว่า 10 เพราะในปฏิทินโรมันโบราณยุคแรกๆ เดือนที่สิบคือเดือนธันวาคม

วิธีใช้ month’s, months’ และ months ภาษาอังกฤษ

คำบอกเวลาในภาษาอังกฤษกับการใช้ apostrophe อาจจะเป็นเรื่องยากและชวนสับสนอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น month’s, months’ หรือ months ต่างก็สะกดถูกต้องทั้งสามแบบ แต่จะเขียนแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับบริบทนั้นๆ

Months เป็นพหูพจน์ของ Month ส่วนคำว่า month’s และ months’ นั้นจะใช้เมื่อประสมกับคำอื่น month’s จะใช้กับหน่วยของเวลาที่เป็นเอกพจน์ และ months สำหรับหน่วยของเวลาที่เป็นพหูพจน์

Month’s และ months’

เราจะวางเครื่องหมาย ”apostrophe“ หรือเครื่องหมายลูกน้ำ ไว้หน้า s เมื่อเขียนเกี่ยวกับเวลาที่เป็นเอกพจน์ (one day, one month, one year) และวางไว้หลัง s เมื่อเป็นเวลาพหูพจน์ (two days, four months, six years)

ตัวอย่าง

One month’s rent
ค่าเช่าหนึ่งเดือน

Three months’ rent
ค่าเช่าสามเดือน

สังเกตง่ายๆว่า เราจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายลูกน้ำเมื่อเราประสมคำนามเข้ากับคำบอกเวลาเท่านั้น และจะทำได้เมื่อเราสามารถใช้ “of“ แทนที่เครื่องหมายลูกน้ำได้

ตัวอย่าง

One month’s free storage
พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีหนึ่งเดือน

Three months’ free storage
พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีสามเดือน

He is moving abroad in one month’s time.
เขากำลังย้ายไปต่างประเทศภายในเวลาหนึ่งเดือน

He is moving abroad in four month’s time.
เขากำลังย้ายไปต่างประเทศภายในเวลาสี่เดือน

You must give at least one month’s notice.
คุณต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน

You must give at least three months’ notice.
คุณต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยสามเดือน

เราสามารถใช้ of แทนได้เสมอ หากคุณรู้สึกว่าจะทำให้ประโยคชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ months จะกลับไปเป็นคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์รูปปกติ

ตัวอย่าง

You must give at least one month of notice.
คุณต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน

You must give at least three months of notice.
คุณต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยสามเดือน

Month

หากไม่มีคำนามที่เชื่อมอยู่กับคำบอกเวลา “months“ จะทำหน้าที่เป็นคำนามปกติ และเราเพียงแค่เติม s เข้าไปเพื่อทำให้มันกลายเป็นรูปพหูพจน์

ตัวอย่าง

She need to start a business in one month.
เธอจำเป็นจะต้องเริ่มต้นธุรกิจภายในหนึ่งเดือน

She need to start a business in three month.
เธอจำเป็นจะต้องเริ่มต้นธุรกิจภายในสามเดือน

คำคุณศัพท์ประสบกับคำว่า Month

คำคุณศัพท์ประสม (Compound Adjectives) คือ คำคุณศัพท์ที่ประกอบด้วยคำสองคำมาประสมกันแล้วคั่นด้วย ยัติภังค์ (Hyphen) เพื่อทำหน้าที่ขยายนามตัวอื่น

ตัวอย่าง

The police saw a guy with a one-month old baby.
ตำรวจเห็นผู้ชายอยู่กับเด็กทารกอายุหนึ่งเดือน

She took a thee-month vacation.
เธอได้ลาพักร้อนสามเดือน

สำหรับคำคุณศัพท์ประสม เราไม่จำเป็นต้องเติม s แต่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายขีดกลาง “-“ (Hyphen อ่านว่า ไฮเฟ่น) เสมอ

คำบอกเวลาต่างๆ เป็นเรื่องพื้นฐานที่สามารถพบได้บ่อยในประโยคภาษาอังกฤษสำหรับการสนทนาในชีวิตประจำวันหรือการทำงาน นอกจากชื่อเฉพาะที่จำเป็นต้องจำเมื่อเรียนภาษาอังกฤษแล้ว เราควรที่จะต้องรู้จักวิธีการใช้คำเหล่านี้ให้ถูกต้องด้วย เพื่อให้คุณสามารถสื่อความหมายได้ตรงกับความต้องการและลดโอกาสเกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ต่างๆด้วย

อัพเดทล่าสุด: