คำศัพท์ต้องระวัง ถ้าไม่อยากหน้าแตก
หลายคนคงเคยรู้สึกเขินๆอายๆเวลาใช้คำศัพท์ผิด ยิ่งคำง่ายๆยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก นอกจากนั้นหากคำที่ใช้ผิดไม่ได้มีความหมายใกล้เคียงคำที่จะสื่อ ก็ยิ่งทำให้ประโยคที่เราพูดฟังดูตลกไปซะงั้น ก็เพราะในภาษาอังกฤษน่ะ มันมีหลายคำที่คล้ายกันมาก บางคำก็ต่างกันแค่การเว้นวรรค บางคำก็ต่างกันแค่พยัญชนะตัวเดียว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกันค่ะ นั่นคือความหมายผิดเพี้ยนจากที่ต้องการจะสื่อ จนเกิดเรื่องหน้าแตกขึ้นเป็นประจำ
ด้านล่างนี้เป็นคำศัพท์ 10 คำที่ควรระวัง หวังว่าทุกคนจะเห็นความแตกต่าง และใช้ภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้นนะคะ
a while และ awhile
a while — เป็น noun หมายถึง ช่วงเวลาหนึ่ง โดยมักจะมีคำว่า for อยู่นำหน้าอยู่ เช่น
I will go to the mall for a while. If you need anything, just call me.
ฉันจะไปห้างสักพักนะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาละกัน
awhile — เป็น adverb หมายถึงช่วงเลาสั้นๆ สังเกตว่าคำนี้จะไม่มี for นำหน้า เช่น
I went to the mall awhile, mom called me to come back home.
ฉันไปห้างแป๊ปเดียว แม่ก็โทรให้กลับบ้านซะแล้ว
accept และ except
accept — ออกเสียงว่า เเอคเซ็พท์ (เน้นเสียงที่คำหลัง) มีความหมายว่า ยอมรับ หรือรับได้ เช่น
They don’t accept her as a friend.
พวกเขาไม่ยอมรับเธอเป็นเพื่อน
except — ออกเสียงว่า อิคเซพท์ (เน้นเสียงที่คำหลัง) มีความหมายว่า ยกเว้น… นอกจาก… เช่น
I can eat everything except vegetable.
ฉันกินได้ทุกอย่างยกเว้นผัก
aboard และ abroad
aboard — หมายถึงการเดินทางโดยยานพาหนะ ในเรือ ในรถ ในรถไฟ หรือในเครื่องบิน เช่น
All passenger went aboard the bus.
ผู้โดยสารทั้งหมดเดินทางโดยรถบัส
abroad — หมายถึง ในต่างประเทศ เช่น
He studies abroad.
เขาเรียนต่างประเทศ
affect และ effect
affect — หมายถึงมีผลกระทบต่อบางสิ่ง มีผลต่อบางสิ่ง ส่วนใหญ่ใช้เป็น verb เช่น
Sunless winter days affect my emotion.
วันที่ไม่มีแดดในฤดูหนาวส่งผลต่ออารมณ์ของฉัน
effect — หมายถึงเป็นสาเหตุให้เกิดบางสิ่ง ส่วนใหญ่ใช้เป็น noun เช่น
Sunless winter day has an effect on my bad mood.
วันที่ไม่มีแดดในฤดูหนาวเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันอารมณ์ไม่ดี
any one และ anyone
any one — แปลว่า สักคน หรือสักอัน เป็นการอ้างถึงคนๆเดียว หรือสิ่งๆเดียว โดยไม่เจาะจงชื่อ หรือเจาะจงว่าเป็นอันไหน แต่รับรู้ว่าอยู่ในกลุ่มใด หรือเกี่ยวข้องกับใคร เช่น
If any one of his friends knows, this is your fault.
ถ้าเพื่อนของเขาสักคนรู้ขึ้นมา มันก็เป็นความผิดของเธอนั่นแหละ
anyone — แปลว่า ใครก็ตาม ใครก็ได้ ไม่เจาะจงอะไรทั้งสิ้น เช่น
Does anyone see my book?
มีใครเห็นหนังสือของฉันไหม
desert และ dessert
desert dessert
desert — หมายถึง ทะเลทราย เช่น
He drew a picture of desert.
เขาวาดรูปทะเลทราย
dessert — หมายถึง ขนม ของหวาน เช่น
I like to have dessert after each meal.
ฉันชอบทานของหวานหลังอาหารมื้อหลัก
farther และ further
farther — หมายความว่า ไกลออกไป ใช้ในการพูดถึงระยะทาง เช่น
If you are going to the that village, you have to drive farther.
ถ้าคุณกำลังไปที่หมู่บ้านนั้น คุณต้องขับไกลออกไปอีก
further — หมายถึง ต่อไปอีก เป็นการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อไปจากเดิม เช่น
She apologized already, but he keeps complaining further.
เธอขอโทษไปแล้ว แต่เขาก็ยังบ่นไม่หยุด
lessen และ lesson
lessen — หมายถึง ลดลง บรรเทา ลดน้อยลง เช่น
This medicine have lessened my pain.
ยาตัวนี้บรรเทาความเจ็บของฉัน
lesson — หมายถึง บทเรียน เช่น
He has learned his lesson for being late.
เขาได้บทเรียนจากการมาสายแล้วล่ะ
quite และ quiet
quite — หมายถึง ทั้งหมด มาก ตรงกับคำในภาษาไทยว่า ทีเดียว ออกจะ พอดู เชียว เช่น
He is quite angry at her.
เขาออกจะโมโหเธออยู่นะ
quiet — หมายถึง เงียบ นิ่งเฉย เช่น
You couldn’t keep quiet, could you?
เธอนี่อยู่เงียบๆไม่ได้เลยใช่ไหม
sale และ sell
sale — เป็นคำนาม หมายถึง การขาย เช่น
All my income is from my sale.
รายได้ทั้งหมดของฉันมากจากการขายของฉันเอง
sell — เป็นคำกริยา หมายถึง ขาย เช่น
He wants to sell his car.
เขาอยากจะขายรถของเขา
ในภาษาอังกฤษยังมีคำที่คล้ายกันแต่ความหมายต่างกันแบบนี้อีกมากมาย ยิ่งเราได้เรียนมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะพบกับคำศัพท์ลักษณะนี้มากขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษหลายคนมีเทคนิคที่ต่างกันไป ทำให้นักเรียนของพวกเขามีความเข้าใจที่ถูกต้องและสามารถนำคำภาษาอังกฤษเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้เรียนพิเศษควรเลือกเรียนกับครูสอนพิเศษที่เหมาะกับตนเอง โดยสังเกตว่าวิธีเรียนที่ตนเองชอบเป็นอย่างไร และครูสอนพิเศษคนไหนมีวิธีสอนที่เหมาะกับสไตล์การเรียนของคุณบ้าง