12 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คุณอาจใช้ผิดไม่รู้ตัว
Where you go, madam? เป็นประโยคเบสิกที่ได้ยินบ่อยๆจากคนขับรถตุ๊กๆหรือรถแท็กซี่ เวลาถามจุดหมายปลายทางของผู้โดยสารชาวต่างชาติ ทำให้รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้จะมองไปทางไหนใครๆก็พูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็มีอยู่หลายคำหลายประโยคที่คนไทยเราใช้กันอย่างผิดๆแบบไม่แคร์สื่อ เพราะถือว่ายังไงฝรั่งก็เข้าใจ จริงๆแล้วชาวต่างชาติเค้าก็รู้สึกตลกกับการใช้ภาษาอังกฤษผิดๆนี้ของคนไทย แต่เขาไม่รู้จะอธิบายให้ฟังได้อย่างไรต่างหากค่ะ เรามาดูกันดีกว่ามีคำไหนที่ควรเลิกใช้บ้าง
Same same
“เหมือนๆกันแหละ”
เป็นคำที่คนไทยคุ้นเคยกันดี คนไทยเราจึงนำคำนี้มาแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงตัวกันไปเลย ทำให้คำนี้ผิดแกรมม่าอย่างรุนแรง เพราะคำว่า same (เหมือนกัน, อย่างเดียวกัน, คล้ายกัน) เป็น คำคุณศัพท์ (adj.) ที่ใช้เป็นคำขยายคำนาม
คำที่ควรใช้
ถ้าจะเปรียบเทียบว่าอะไรเหมือนหรือคล้ายกับอะไร ให้ใช้ Similar to เช่น
My phone is similar to your phone.
โทรศัพท์ของฉันคล้ายกับของเธอเลยอะ
แต่หากต้องการสื่อว่า ที่เดิม เวลาเดิม อันเดิม สามารถใช้ same ได้ แต่ใช้แค่ same เท่านั้นนะคะ ไม่ต้อง same same เช่น
I will see you here at the same time tomorrow.
พรุ่งนี้ฉันจะมาเจอเธอที่นี่เวลาเดิม
หรือถ้าจะบอกว่า ทำอะไรเหมือนๆเดิมที่เคยทำอยู่เป็นประจำ ให้ใช้ as usual เช่น
Yesterday, Pam went to the park as usual.
เมื่อวานนี้แพมก็ไปที่สวนสาธารณะเหมือนเดิมน่ะแหละ
Same same but different
“เหมือนๆกันแหละ แต่ก็ไม่เหมือนกันนะ”
แน่นอนว่าคำนี้ต้องมา คือตกลงเหมือนหรือไม่เหมือนยังไงกันแน่ ความหมายที่ต้องการจะสื่อในที่นี้คือ มันดูเหมือนกัน แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกันนั่นเอง
คำที่ควรใช้
คำนี้ต้องยกทั้งวลีไปเลยค่ะ similar but different in some ways นั่นคือ เหมือน/คล้ายกันนะ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เหมือน/ไม่คล้ายกันอยู่ เวลาใช้ อย่าลืมใส่ v. to be หรือ seem/look ก่อนวลีนี้นะคะ เช่น
Jane and her sister look similar but different in some ways.
แจนกับน้องสาวของเธอรูปร่างหน้าตาคล้ายกันแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่คล้าย
Open/close the light
“เปิด/ปิดไฟให้หน่อยสิ”
เปิด/ปิดไฟของคนไทยเราคือการเดินไปกดสวิซไฟให้หลอดไฟมันทำงานส่องแสงสว่างออกมา แต่การเปิดในภาษาอังกฤษมันหมายถึงการเปิดจริงๆค่ะ เช่น เปิดประตู เปิดกล่อง ส่วนการทำให้หลอดไฟสว่างขึ้นมา ในภาษาอังกฤษจะไม่ใช้ “เปิด/ปิด” เหมือนในภาษาไทย
คำที่ควรใช้
การทำให้อะไรสักอย่างทำงานขึ้นมา ไม่ว่าการทำให้ไฟสว่าง หรือการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์(ให้คอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน) เราจะใช้ turn on/turn off ค่ะ เช่น
Can you turn on the light, please?
คุณคะ เปิดไฟให้หน่อยได้ไหมคะ
No have …
“ไม่มีหรอก”
ประโยคนี้เหมือนเป็นประโยคอำมตะหรือเปล่า เป็นประโยคตลอดกาลที่ไม่ว่านานแค่ไหนแล้วก็ยังได้ยินคนไทยใช้กันอยู่ คือเล่นแปลกันตรงตัวเลยนะ no-ไม่/have-มี รวมกันก็ “ไม่มี” ไง เป็นงั้นไป…
คำที่ควรใช้
ถ้าจะแค่บอกว่า ไม่มี(สิ่งของ/สิ่งที่ไม่มี) ให้ใช้ There is no + สิ่งที่ไม่มี เช่น
There is no money in the wallet.
ไม่มีเงินอยู่ในกระป๋าตังค์สักบาท
หรือถ้าต้องการสื่อว่า ฉันน่ะ ไม่มีไอนั่นไอนี่นะ ให้ใช้ I do not have + สิ่งที่ไม่มี เช่น
I don’t have any money.
ฉันไม่มีเงินเลย
I very like it.
“ฉันชอบมากเลย”
คือเข้าใจว่าอยากจะเน้นว่าชอบมาก ชอบจริงๆ แต่การจะเน้นว่าชอบมากในภาษาอังกฤษเค้าไม่ได้เอา very วางหน้า like กันหรอกนะคะ
คำที่ควรใช้
ถ้าจะบอกว่า ชอบมาก ก็ให้นำ very much วางหลังประโยคเลยค่ะ เช่น
I like it very much.
ฉันชอบมันมากเลย
ถ้าอยากเปลี่ยนเป็น ชอบจริงๆนะ ชอบจริงๆไม่ได้โกหกไรงี้ ก็ใช้ really วางหน้า like เลย เช่น
I really like you.
ฉันชอบเธอจริงๆนะ
Take a bath.
“อาบน้ำ”
จะว่าอาบน้ำไหมก็ใช่ค่ะ แต่อาบน้ำคำนี้ฝรั่งเค้าหมายถึง อาบน้ำในอ่าง หรือการนอนแช่น้ำในอ่าง ซึ่งคนไทยเราไม่ค่อยมีบ้านไหนที่มีอ่างอาบน้ำในห้องน้ำไว้นอนแช่เลย เราจะนิยมใช้ฝักบัวอาบน้ำมากกว่า ดังนั้นคำนี้จึงไม่ถูกต้องนักค่ะ เพราะเวลาสื่อสารไปแล้ว ฝรั่งเค้าจะเข้าใจว่าเรากำลังจะไปนอนแช่น้ำ เป็นงั้นไป
คำที่ควรใช้
อาบน้ำโดยใช้ฝักบัวอาบน้ำ ภาษาอังกฤษเรียกว่า take a shower ค่ะ เช่น
I will go to take a shower.
ฉันจะไปอาบน้ำละนะ
Are you spicy?
“คุณเผ็ดไหม?”
การใช้ Are you spicy? เพื่อถามว่า อาหารของคุณน่ะเผ็ดไหม? เห็นจะไม่ถูกต้อง เพราะการใช้ are ถามถึง you มันเป็นการถามถึงตัวบุคคลผู้นั้น แทนที่น่าจะเป็นการถามว่าอาหารเผ็ดรึเปล่า กลายเป็นถามว่าตัวของคุณน่ะเผ็ดหรือเปล่าไปซะงั้น
คำที่ควรใช้
เพราะเราจะถามถึงอาหาร เพราะงั้นเราจึงต้องกล่าวถึงอาหารค่ะ ไม่ใช่ตัวของคนๆนั้น เช่น
Is your food spicy?
อาหารของเธอเผ็ดไหมอะ?
Are you boring?
“คุณเบื่อไหม?”
เวลาเราไปเที่ยวหรือทำอะไรด้วยกันกับเพื่อนชาวต่างชาติ เราก็อยากรู้ว่า เขาเบื่อหรือเปล่า? ที่มาเที่ยวนี่สนุกไหมอะไรอย่างนี้ แต่มันมีความแตกต่างอยู่ระหว่าง boring กับ bored ค่ะ ถ้าใช้ boring หมายความว่าสิ่งนั้นหรือคนๆนั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ หรือเป็นคนน่าเบื่อนั่นเอง ส่วนถ้าใช้ bored จะเป็นการถามถึงอารมณ์/ความรู้สึกของคนๆนั้นว่ารู้สึกเบื่อไหม
คำที่ควรใช้
ต้องใช้คำว่า bored ค่ะ เช่น
Are you bored?
คุณเบื่อไหมคะ?
I like to play Internet.
“หนูชอบเล่นเน็ตค่ะ”
นี่เป็นอีกหนึ่งคำตอบยอดฮิต เวลาอาจารย์ฝรั่งถามว่า เวลาว่างชอบทำอะไร? นักเรียนยุคไอทีอย่างเราๆก็มักจะตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า อ๋อ หนูชอบเล่นเน็ตค่ะจารย์ ซึ่งเป็นคำตอบที่ผิดค่ะ ในภาษาอังกฤษ เค้าไม่มีการเล่นอินเตอร์เน็ตนะคะ มีแต่การใช้อินเตอร์เน็ต
คำที่ควรใช้
use Internet ก็จะหมายถึงการที่เราใช้อินเตอร์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เล่นเน็ต” ทุกวันนี้นั่นเอง เช่น
I like to use Internet on my free time.
เวลาว่างหนูชอบใช้อินเตอร์เน็ตค่ะ
I want to play yoga.
“อยากไปเล่นโยคะจัง”
ในภาษาไทยเราการไปออกกำลังกายด้วยโยคะ เราเรียกว่าการไปเล่นโยคะ แต่ในภาษาอังกฤษนั้น เราใช้ play กับ เกมส์กีฬา(เช่น ฟุตบอล วอลเลบอล เทนนิส เป็นต้น) เกมส์ต่างๆ และเครื่องดนตรีเท่านั้น
คำที่ควรใช้
ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า do yoga ค่ะ เช่น
I want to do yoga this Friday.
วันศุกร์นี้อยากไปเล่นโยคะจัง
Check bill
“เก็บเงินด้วยค่ะ”
เราคงจะคุ้นเคยกับการบอกพนักงานร้านอาหารว่า “น้องคะ เช็คบิลด้วยค่ะ” ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเราต้องการจ่ายค่าอาหารแล้ว แต่ในภาษาอังกฤษมันจะฟังดูไม่เข้าท่านัก เมื่อ check = การตรวจสอบ ชาวต่างชาติอาจจะงงได้ว่าเราจะให้เขาตรวจสอบบิลไปทำไมกัน
คำที่ควรใช้
ใช้แค่คำว่า the bill ก็พอแล้วค่ะ เช่น
The bill, please.
คิดเงินด้วยค่ะ
หรือถ้าอยากพูดให้สุภาพมากขึ้นอีกหน่อย โดยมีความหมายเดียวกัน ก็ใช้ Could I have the bill please?
Where you go?
“เธอจะไปไหนอะ?”
ในเมืองท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติเยอะๆ เราอาจจะได้ยินประโยคนี้กันบ่อยๆ เพราะเป็นประโยคที่รถตุ๊กๆที่วิ่งในตัวเมืองถามหาผู้โดยสารชาวต่างชาตินั่นเอง
คำที่ควรใช้
การถามคำถามที่ขึ้นต้นด้วย where จะต้องตามด้วย คำกริยาค่ะ อาจจะเป็น v. to be หรือ modal verb (เช่น can could may might will เป็นต้น) ก็ได้ เช่น
Where are you going?
คุณกำลังจะไปไหนเหรอ?
Where will you go?
เธอจะไปไหนล่ะ?
เป็นเรื่องดีที่คุณมีความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะเมื่อคุณมีความมั่นใจแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถสื่อสารออกมาได้อย่างถูกต้องนั้นจะกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย เพียงแค่เรียนภาษาอังกฤษที่ถูกต้องและฝึกฝนบ่อยๆ คุณก็จะใช้ภาษาอังกฤษได้ถูกต้องไปเอง เพราะการทำให้สมองจดจำสิ่งที่เรียนไปได้ดีที่สุด คือการเรียนและนำไปใช้ในทันทีเพื่อฝึกฝนนั่นเองค่ะ