คำเรียกแฟนภาษาอังกฤษ ความหมายน่ารักๆ แฟนภาษาอังกฤษเขียนแบบไหน
แฟน ภาษาอังกฤษมี 2 คำ หากเป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษผู้หญิง จะเรียกว่า
Girlfriend
(เกิร์ลเฟรนด์)
แฟน (ผู้หญิง)
ส่วนคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษผู้ชาย ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า
Boyfriend
(บอยเฟรนด์)
แฟน (ผู้ชาย)
คำเรียกแฟนเช่นนี้ใช้ในการกล่าวถึงแฟนของเราในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การกล่าวถึงแฟนในวงสนทนากับบุคคลอื่น การระบุว่าสถานะของแฟนให้คนรู้จักทราบ หรือการแนะนำแฟนของเราต่อคนอื่น
ส่วนคำใช้เรียกแฟนเพื่อแสดงความสเน่หา หรือชื่อเล่นแฟน จะเหมาะที่จะใช้เรียกกันเองเป็นการส่วนตัวระหว่างกันมากกว่า ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้แนะนำตัวให้คนรู้จักเท่าไหร่นัก
มาดูวิธีเรียกแฟนภาษาอังกฤษแต่ละแบบกัน
คำเรียกแฟนภาษาอังกฤษ ตั้งชื่อแฟนภาษาอังกฤษน่ารักๆ
1. Boyfriend/Girlfriend (บอยเฟรนด์/เกิร์ลเฟรนด์)
คำว่า Boyfriend แปลว่า แฟนหนุ่ม ส่วนคำว่า Girlfriend แปลว่า แฟนสาว เป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยที่สุด มักจะใช้เรียกแฟนที่เพิ่งคบกันหรือคู่รักที่อายุไม่มาก หากคู่รักอายุมากแล้ว เช่น 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นคู่รักที่แต่งงานกันแล้ว มักจะใช้คำอื่นให้เหมาะสมกับอายุและสถานะมากกว่า
Jake is my boyfriend.
แจ็คเป็นแฟนของฉันเองค่ะ
2. Spouse (สเปาซ์)
คำว่า “Spouse” ใช้เรียกแฟนภาษาอังกฤษได้ในกรณีที่แต่งกันแล้วเท่านั้น ปัจจุบันคำนี้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นกว่าคำว่า “Husband” และ “Wife“ อย่างชัดเจนเพราะสามารถใช้ได้กับหลากหลายเพศ หรือเรียกว่าใช้ได้ในทุกเพศสภาพก็ได้ เหมาะใช้ทุกสถานการณ์และสถานที่
สำหรับคนที่ต้องการระบุเพศสภาพก็สามารถเลือกใช้คำว่า “สามี” หรือ “ภรรยา” ในการเรียกแฟนภาษาอังกฤษได้เลย เช่น
“Hi! This is my husband, Thomas.“
สวัสดีค่ะ นี่คือสามีของฉันค่ะ โธมัสค่ะ
หรือคนเพศเดียวกันก็สามารถใช้ได้เช่นกัน เช่น
“I’m married, and this is my wife. Her name is Alisha.“
ฉันแต่งงานแล้วค่ะ และนี่คือภรรยาของฉัน ชื่อของเธอคือ อลิชา ค่ะ
3. Partner (พาร์ทเนอะ)
คำว่า “Partner” เป็นอีกคำที่ถูกนำมาใช้เรียกแฟนภาษาอังกฤษมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เรียกแฟนที่แต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่งงานก็ได้ สามารถใช้ได้ทั้งในกลุ่มรักต่างเพศหรือเพศเดียวกัน นอกจากนั้นความหมายของคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษคำนี้ยังแสดงถึงการลงทุนลงแรงในความสัมพันธ์และความหวังที่มีร่วมกันในอนาคตเปรียบเสมือนหุ้นส่วนทางธุรกิจ เหมาะใช้ในที่ทำงานที่สุด และสามารถใช้เรียกอย่างไม่เป็นทางการได้ด้วย แต่จะไม่ใช่คำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่หวานเท่าคำอื่นๆ เช่น
“I got married to my partner in 2016“
ฉันแต่งงานกับแฟนในปี 2016
นอกจากนี้คำว่า partner ยังใช้เรียกหุ้นส่วนทางธุรกิจจริงๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวอีกด้วย และมักมีคำว่า Business นำหน้า เป็น “business partner” ดังนั้นเมื่อได้ยินคำนี้ ควรเข้าใจบริบทที่กำลังพูดถึงด้วย เช่น
“Please, don’t forget, you have a meeting with a business partner on Monday.”
อย่าลืมนะ ว่าคุณมีนัดประชุมกับหุ้นส่วนทางธุรกิจในวันจันทร์
4. Boo (บู)
คำว่า “My Boo” หรือ “boo” ใช้เรียกแฟนภาษาอังกฤษ และเป็นคำที่ฟังดูน่ารัก, ไม่เจาะจงเพศและยังสื่อถึงความรักความเอ็นดูเวลาที่เราเรียกแฟนภาษาอังกฤษด้วย แต่ไม่เหมาะจะใช้เรียกกันในที่ทำงาน
My Boo ใช้ยังไง?
ใช้เรียกแฟนไม่ว่าจะเป็นแฟนผู้หญิงหรือแฟนผู้ชายก็ได้ แต่เหมาะที่จะใช้เรียกหรือแนะนำแฟนให้กับคนที่เราค่อนข้างสนิทกันรู้จัก เช่น
“Kelly, as my roommate, I want you to get to know my boo. His name is James. He will be coming here to meet me a lot from now on.”
เคลลี่ เพราะเธอเป็นรูมเมทของเรา เราอยากให้เธอรู้จักกับแฟนของเรา ชื่อของเขาคือเจมส์ ต่อไปนี้เขาจะมาเจอฉันที่นี่บ่อยๆ
Boo ใช้เรียกใคร?
Boo ใช้เรียกแฟนได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้เรียกเพื่อนหรือคนรู้จักเพื่อแสดงความสนิทสนมได้
ดูเพิ่มเติม แคปชั่นภาษาอังกฤษความรัก
5. Significant Other (ซิกนิฟิเคินท์ ออเธอะ)
คำนี้เป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่ชัดเจน ตรงประเด็น คำว่า “Significant” แปลว่า “สำคัญ” การเรียกใครสักคนว่าเป็น “Significant other” หมายความว่าคนๆ นี้เป็นคนที่มีความสำคัญสำหรับคุณ เราสามารถใช้เรียกคู่แต่งงานหรือคู่รักที่ค่อนข้างจริงจังได้ นอกจากนั้นเรายังพบการใช้คำนี้ในการ์ดเชิญงานเลี้ยงหรืองานแต่งงาน โดยมีช่องให้ทำเครื่องหมายหากเราต้องการพา Significant Other (คนสำคัญ) มางานด้วยหรือไม่ เนื่องจากคำนี้ไม่ได้ระบุเพศสภาพ และสถานะการสมรส เราจึงสามารถใช้คำนี้ถามแขกคนไหน เพศไหนก็ได้ ว่าพวกเขาจะพาแฟนสาว/แฟนหนุ่ม/สามี/ภรรยามางานด้วยหรือไม่ เจ้าภาพจะได้เตรียมที่นั่งให้
“Would you like to bring your significant other to this event, ma’am?“
ไม่ทราบว่าคุณจะพาแขกคนสำคัญมาร่วมงานด้วยหรือไม่คะ
คำนี้จึงเป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่ควรรู้อีกคำหนึ่ง
6. My man/ My woman (มาย แมน/มาย วูเมิน)
การเรียกแฟนภาษาอังกฤษว่า “my man” (ผู้ชายของฉัน) หรือ “my women” (ผู้หญิงของผม) เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของแฟน แต่บางคนอาจรู้สึกว่าคำนี้เป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากจนเกินไป เพราะฉะนั้นถามแฟนของคุณดูก่อนว่าเขาหรือเธอรู้สึกโอเคกับคำว่า “my man” หรือ “my woman” หรือไม่ ถ้าคุณจะใช้เรียกแฟนภาษาอังกฤษด้วยคำนี้
This is my woman. So you will treat her with much respect she deserves!
นี่คือผู้หญิงของผม ดังนั้นคุณจะต้องปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพอย่างที่เธอสมควรได้รับ!
7. Wifey/Hubby (ไวฟ์ฟี้/ฮับบี้)
เป็นคำสำหรับใช้เรียกแฟนภาษาอังกฤษแบบน่ารักๆ มีที่มาจากคำว่า wife (ภรรยา) และ husband (สามี) และแน่นอนว่าเป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่เหมาะสำหรับคู่รักที่แต่งงานกันแล้วเท่านั้น นอกจากนี้คำว่า “Wifey” and “Hubby” ยังสามารถใช้เรียกกันขำๆ ระหว่างเพื่อนสนิทหรือเพื่อนร่วมห้องที่สนิทกันมากๆ
Hi, I would like to you meet my hubby, Adam!
สวัสดีค่ะ ขอแนะนำสามีของฉันให้รู้จักนะคะ อดัมค่ะ
8. Darling (ดาร์ลิ่ง)
คำว่า “Darling” แปลว่า “ที่รัก” เราสามารถนำคำนี้ไปใช้แนะนำแฟนของเราได้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่นัก เช่น แนะนำแฟนของเราให้เพื่อนบ้านหรือเพื่อนบ้านรู้จัก สถานการณ์ที่ไม่เหมาะจะใช้คำว่า Darling แนะนำแฟน เช่น การแนะนำแฟนของเราให้หัวหน้างานรู้จัก เป็นต้น นอกจากนี้คำนี้ยังเป็นคำที่ใช้เรียกแฟนภาษาอังกฤษด้วยความสเน่หาได้อีกด้วย
Dear และ Darling ต่างกันอย่างไร?
หลายคนคิดว่า Darling มีความหมายเหมือนกับคำว่า Dear แต่จริงๆ แล้วคำว่า Dear จะใช้เรียกใครก็ได้ เพื่อแสดงความสุภาพ และความเป็นมิตร ในขณะที่คำว่า Darling จะใช้เรียกคนที่เรารักหรือสนิทสนมมากจริงๆ เท่านั้น
My Dear ใช้กับใครได้บ้าง?
My Dear ใช้เรียกใครก็ได้เพื่อนแสดงความเป็นมิตร เช่น
“Jonas, my dear, your girlfriend is calling.“
โจนัส แฟนของเธอกำลังโทรหาเธอน่ะ
นอกจากนี้คำว่า My dear หรือ dear เฉยๆ ยังสามารถใช้เป็นคำอุทานในภาษาอังกฤษได้อีกด้วย เช่น
“Oh dear, I forgot to buy our tickets for the event tomorrow!“
โอ้ย ตายแล้ว ฉันลืมซื้อตั๋วของเราสำหรับงานพรุ่งนี้!
การใช้ dear อีกวิธี คือ การใช้คำว่า dear ในการขึ้นต้นจดหมาย หรืออีเมล แทนคำว่า To ในภาษาอังกฤษเพื่อแสดงความสนิทสนม
Dear Mr Smith,
คุณสมิธที่รัก (ที่เคารพรัก)
แทนคำว่า To Mr Smith, ที่แปลว่า “ถึงคุณสมิธ” เฉยๆ
Darling ใช้กับใคร?
darling ใช้เรียกแฟนผู้หญิงผู้ชายก็ได้ และยังเรียกคนที่เรารักและสนิทสนมได้อีก โดยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นคนเพศใดก็ตาม เช่น เรียกลูก เรียกเพื่อนสนิท เรียกแฟน เป็นต้น
Sam, darling, could you help mommy cleaning dishes, please?
แซม ที่รัก หนูช่วยแม่ล้างจานหน่อยได้ไหมคะ
9. Lover (ลัฟเวอะ)
คำว่า “lover” หรือ แฟนภาษาอังกฤษนั้น ใช้เรียกใครก็ตามที่คุณมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวด้วย มักกล่าวถึงคนที่คบกันแบบไม่เปิดเผย หรือยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันอย่างจริงจัง ถ้าตกลงที่จะเป็นแฟนกันแล้ว คำว่าแฟนภาษาอังกฤษที่ใช้ มักเป็น boyfriend (แฟนหนุ่ม) girlfriend (แฟนสาว) หรือ partner (แฟน)
คำว่า “Lover” เปรียบเสมือนคำว่า “กิ๊ก” ในภาษาไทย เราสามารถมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวหรือเป็นกิ๊กกับ Lover ได้ แต่เราจะไม่เป็นกิ๊กกับแฟนหรือสามีภรรยาของตัวเองอย่างแน่นอน
ตัวอย่าง
I spotted Penny with her lover last night!
ฉันแอบเห็นเพ็นนีไปกับกิ๊กเมื่อคืนนี้!
10. My guy/ My girl (มาย กาย/ มายเกิร์ล)
คำว่า “My guy” (พ่อหนุ่มของฉัน) และ “My girl” (หญิงสาวของผม) เป็นคำที่แสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนแต่ยังเติมความรู้สึกน่ารักๆลงไปด้วย ใช้สำหรับเรียกอีกฝ่ายที่เป็นคนสำคัญของคุณ และใช้ได้กับทุกวัย เหมาะใช้เรียกกันเอง หรือกับคนสนิทมากกว่า
I have a date with my guy tonight. I’m so excited!
ฉันมีนัดกับแฟนคืนนี้ ตื่นเต้นจังเลย!
11. My old man/woman (มาย โอลด์ แมน/วูมเมิน)
บ่อยครั้งที่เรามักจะคิดว่าการเรียกใครว่า “แก่” เป็นการดูถูกหรือประชดแดกดัน แต่คำว่า “My old man” หรือ “My old woman” หรือแม้แต่ “My old lady” ล้วนแต่เป็นคำเรียกแฟนหรือสามีภรรยาที่หวานซึ้งที่สุดคำหนึ่ง โดยเฉพาะกับคู่แต่งกันที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานาน
We have lived here for 30 years, my old woman and I. We wouldn’t want to move anywhere else.
ผมกับภรรยาอาศัยอยู่ที่นี่มา 30 ปีแล้ว พวกเราไม่อยากจะย้ายไปอยู่ที่อื่นหรอกครับ
12. Sweetheart (สวีทฮาร์ต)
เป็นคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่หวานมากๆ คำหนึ่ง มักใช้เรียกกันเอง หรือใช้แนะนำตัวแฟนกับคนรู้จักที่สนิมสนมกันดี ไม่เหมาะใช้เรียกแฟนในที่ทำงานหรือในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ
The girl over there is my sweetheart. Let’s go say hi!
ผู้หญิงคนนั้นคือแฟนผมเอง ไปทักทายกับเธอด้วยกันสิ!
คำเรียกแฟนภาษาอังกฤษนี้ สามารถนำมาใช้ตั้งชื่อแฟนภาษาอังกฤษเรียกกันเองได้อีกด้วย เราจะได้ยินการเรียกชื่อแฟนภาษาอังกฤษเช่นนี้ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกามากเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเน้นใช้คำเรียกแฟนที่มาจากชื่อขนม ของหวาน เด็กทารก หรือลูกสัตว์น่ารักๆ
คำเรียกแฟนภาษาอังกฤษอื่นๆ แบบอเมริกัน เช่น
- Sweetie, Sweety (สวี๊ตตี้)
- Honey (ฮันนี่)
- Cupcake (คัฟเค้ก)
- Pumpkin (พั๊มคิ่น)
- Bunny (บันนี่)
- Baby, Babe (เบบี้, เบ๊บ)
ตัวอย่างคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษแบบอเมริกันด้านบนเป็นชื่อเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่แปลว่า “ที่รัก” ซึ่งคำว่า “ที่รักภาษาอังกฤษ” ยังมีอีกหลายคำ และแต่ละประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษก็ยังมีคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษที่นิยมมากกว่าคำอื่นๆ อีกด้วย
13. My beloved… (มาย บีเลิ่ฟ…)
เราอาจใช้คำนี้เรียกแฟนภาษาอังกฤษตรงๆ ไม่ได้ เพราะคำนี้แปลตรงตัวได้ว่า “…ที่รักของฉัน” จำเป็นต้องใช้คู่กับคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษอื่นๆ โดย My beloved… จะทำให้คุณเรียกชื่อแฟนภาษาอังกฤษออกมาได้หวานซึ้งมากขึ้น
My beloved ใช้ยังไง?
การตั้งชื่อแฟนภาษาอังกฤษด้วย My beloved จะต้องใส่ชื่อแฟนภาษาอังกฤษหรือคำเรียกแฟนภาษาอังกฤษต่อท้าย My beloved… ตัวอย่างเช่น
My beloved Anne.
แอนที่รักของผม
My beloved husband.
สามีที่รักของฉัน
นอกจากนี้ My beloved… ยังสามารถใช้กับบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่แฟน แต่ใช้เรียกคนที่เราเคารพรักภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง เช่น
To my beloved mother, I miss you dearly. Can’t wait to see you this summer.
ถึงคุณแม่ที่เคารพรักของผม ผมคิดถึงแม่มากครับ เจอกันหน้าร้อนนี้นะครับ
She is my beloved friend since childhood. And she will always be forever.
เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักตั้งแต่วัยเด็ก และฉันจะรักเธอเช่นนี้ตลอดไป
My beloved Piper, the only dog that I had ever loved. Rest in peace.
ไปเป่อร์ที่รัก เธอเป็นหมาตัวเดียวที่ฉันรัก ขอเป็นสุขนะ
การเรียนภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวันจะต่างกับการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มเกรด เพราะเป็นการเรียนรู้วิธีใช้ภาษาอังกฤษให้เหมือนชาวต่างชาติเจ้าของภาษา ช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากคุณต้องการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง คุณควรเรียนภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติ หรือเรียนกับครูไทยที่พูดภาษาอังกฤษคล่องและมีใบรังรองการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่น่าเชื่อถือ เช่น ใบสอบ TOEIC, IELTS หรือ TOEFL สำหรับผู้สอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ