5 วิธีไปเรียนต่อต่างประเทศ หาเอเจนซี่ เป็นออร์แพร์ หรือหาทุนการศึกษาดีนะ
การไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นการเปิดประสบการณ์ในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเฉพาะการเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศ นอกจากจะได้ฝึกใช้ภาษาแล้วยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่หลากหลายอีกด้วย ในปัจจุบันการไปเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศไม่ได้ยากเหมือนในสมัยก่อน มีข้อมูลมากมายในอินเทอร์เน็ตที่บอกเล่าเรื่องราว วิธีการไปเรียนหรือไปทำงาน รวมไปถึงบอกงบประมาณในการไปแต่ละประเทศ ทำให้ผู้ที่สนใจสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบและเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดได้
ลงทะเบียนเรียนต่างประเทศด้วยตัวเอง
การลงทะเบียนเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศด้วยตัวเองเป็นวิธีที่ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจรายละเอียดทุกขั้นตอนในการไปเรียน เริ่มตั้งแต่การเลือกมหาวิทยาลัย เลือกคณะหรือสาขาที่ต้องการเรียน การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ผู้เรียนจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุดเพราะเป็นข้อมูลโดยตรงจากทางมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง อีกทั้งยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับนายหน้าในการช่วยติดต่อประสานงาน จึงเป็นวิธีการที่ดีสุดที่จะสามารถเลือกมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมกับตัวเองได้จริงๆ
- งบประมาณ
– ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามจริงตามมหาวิทยาลัยและประเทศที่เลือกไปเรียน ได้แก่ ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าทำประกัน ค่าทำวีซ่า ฯลฯ - ข้อดี
– ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงที่สุด - ข้อจำกัด
– ผู้เรียนต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี ทั้งการพูด ฟัง อ่านและเขียน ยิ่งมหาวิทยาลัยระดับท็อปจะใช้เกณฑ์ในการเข้าศึกษาต่อค่อนข้างสูง ผู้เรียนจะไม่มีผู้แนะนำให้เหมือนกับการใช้บริการเอเจนซี่
– อาจจะยุ่งยากและใช้เวลาเตรียมตัวค่อนข้างนาน
เป็นออร์แพร์
โครงการ Au Pair คือ โครงการพี่เลี้ยงเด็กที่ได้รับการรับรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สมัครได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมและพักอาศัยกับครอบครัวชาวอเมริกันเป็นระยะเวลา 1-2 ปี โดยไม่ต้องเสียค่าที่พักและค่าอาหาร ทั้งนี้ผู้สมัครจะต้องรับหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก และทำหน้าที่ต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ โดยได้รับค่าตอบแทนตามกฎหมาย และยังได้รับทุนการศึกษาจำนวน 500 ดอลล่าร์เพื่อใช้เรียนภาษาอังกฤษในสถานศึกษาในต่างประเทศอีกด้วย
- งบประมาณ
– ค่าใช้จ่ายจะมีเพียงค่าสมัครและค่าธรรมเนียมโครงการ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละเอเจนซี่
– ค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาท - ข้อดี
– ค่อนข้างปลอดภัย เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา
– มีที่พักและอาหารสามมื้อตลอดระยะเวลาที่ไปทำงาน พร้อมตั๋วเครื่องบินและประกันสุขภาพ/ประกันชีวิตฟรี
– ได้รับค่าตอบแทนจากการทำงาน รวมถึงวันหยุดประจำปีตามกฎหมายและมีวันหยุดสำหรับท่องเที่ยว
– ได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวอเมริกันจริงๆ
– ได้รับทุนการศึกษา - ข้อจำกัด
– รับสมัครเฉพาะผู้หญิง อายุระหว่าง 18-25 ปี และสถานภาพโสด ไม่เคยมีบุตรเท่านั้น
– ไม่สามารถเลือกโฮสท์ที่จะไปอยู่ได้ด้วยตัวเอง บางครั้งอาจจะได้โฮสท์ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง
– ต้องมีใบขับขี่ และสามารถว่ายน้ำได้
– ต้องมีประสบการณ์การดูแลเด็ก อย่างน้อย 400 ชั่วโมงทั้งเด็กต่ำกว่า 2 ขวบและเด็ก 2 ขวบขึ้นไป
– ไม่สามารถเลือกประเทศอื่นได้นอกจากสหรัฐอเมริกา
หาทุนการศึกษา
ทุนการศึกษาในการเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศนั้นมีมากมาย ทั้งทุนจากภาครัฐบาล ทุนจากภาคเอกชนหรือทุนที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้สนับสนุนเอง ผู้ที่สนใจขอทุนการศึกษาจะต้องตรวจสอบเงื่อนไขและระยะเวลาของทุนให้รอบคอบ หลายๆทุนเป็นทุนให้เปล่าโดยไม่มีข้อผูกมัด ในขณะที่บางทุนมีเงื่อนไขการใช้ทุนตามตกลง บางทุนเป็นทุนเต็มจำนวนแต่บางทุนก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เกณฑ์ในการขอรับทุนก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละมหาวิทยาลัย ยิ่งมหาวิทยาลัยอันดับดีเท่าไร เงื่อนไขการขอรับทุนก็จะยากขึ้นเท่านั้น เพราะมีผู้สนใจต้องการสมัครไปเรียนเป็นจำนวนมาก
ตัวอย่างทุนเรียนฟรีเต็มจำนวน แบบไม่มีข้อผูกมัด
Fulbright Scholarship
เป็นทุนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก ทุนนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อเกือบทุกอย่าง ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ โดยมีข้อแม้เพียงอย่างเดียวว่าหลังจากเรียนจบห้ามทำงานที่สหรัฐอเมริกาสองปี
Chevening Scholarship
เป็นทุนจากฝั่งรัฐบาลของประเทศอังกฤษ ให้แก่ผู้ที่มีศักยภาพความเป็นผู้นำ มีวิสัยทัศน์โดดเด่นและมีประวัติการศึกษายอดเยี่ยม โดยจะได้รับทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษเป็นระยะเวลาหนึ่งปี พร้อมได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาล นอกจากนี้ทุนชีฟนิ่งยังไม่จำกัดอายุผู้สมัครขอรับทุนอีกด้วย
ใช้บริการเอเจนซี่
การใช้บริการเอเจนซี่หรือตัวแทนแนะแนวเกี่ยวกับการศึกษาภาษาอังกฤษต่างประเทศ โดยปกติตัวแทนเหล่านี้จะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการให้คำปรึกษา เพราะจะเรียกเก็บค่าคอมมิชชันจากมหาวิทยาลัยที่เขารับเป็นตัวแทน นอกจากให้คำแนะนำในการเลือกมหาวิทยาลัยและคณะที่ต้องการเรียนแล้ว บางเอเจนซีจะดูแลนักเรียนแบบครบวงจร ตั้งแต่การทำวีซ่า การซื้อตั๋วเครื่องบิน การหาที่พัก การหารถรับส่งสนามบิน รวมถึงประกันภัยต่างๆ ซึ่งสามารถอำนวยความสะดวกได้มากทีเดียว จึงควรเลือกใช้บริการเอเจนซีอย่างรอบคอบเพื่อให้ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด
วิธีเลือกเอเจนซี่
- ดูความน่าเชื่อถือของเอเจนซี่ผ่านเว็บไซต์ของเอเจนซี่นั้นและจากรีวิวต่างๆตามเว็บบอร์ดหรือในโซเชียลมีเดีย
- ดูประสบการณ์ของเอเจนซี่ว่าเชี่ยวชาญประเทศอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เพราะบางแห่งจะเชี่ยวชาญประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับความต้องการของเรา
- สังเกตรายชื่อมหาวิทยาลัยที่เอเจนซี่รับเป็นตัวแทนว่าตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ และเอเจนซี่ที่มีประสบการณ์ต้องสามารถตอบข้อมูลพื้นฐานต่างๆได้ทันที
- เปรียบเทียบเอเจนซี่หลายๆแห่ง ดูการบริการและความเอาใจใส่ของแต่ละแห่ง
ไปทำงานต่างประเทศ
ในกรณีที่จบการศึกษา นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศและใช้ชีวิตในต่างแดนได้ การไปทำงานที่ต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายสามารถทำได้ 5 วิธี ได้แก่
- บริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจัดส่งไป
- กรมการจัดหางานจัดส่ง
- เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง
- นายจ้างในประเทศพาลูกจ้างไปทำงาน
- นายจ้างในประเทศส่งลูกจ้างไปฝึกงาน
หากใช้บริการของบริษัทจัดหางานหรือกรมการจัดหางานจะมีค่าธรรมเนียมในการให้บริการแตกต่างกันออกไป เราจะต้องเลือกบริษัทที่เชื่อถือได้และได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะมีประกาศในหน้าเว็บไซต์ สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
มีวิธีการมากมายที่ทำให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษต่างประเทศและใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ บางวิธีต้องใช้เงินจำนวนมาก ในขณะที่บางวิธีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แถมยังมีรายได้จากการทำงานอีกด้วย แต่ละวิธีจะกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่สนใจเบื้องต้นและมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ผู้ที่สนใจจำเป็นต้องพิจารณาแต่ละเงื่อนไขอย่างรอบคอบและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง และไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ การมีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศที่ดีจะเป็นตัวเพิ่มโอกาสในการไปทำงานหรือการศึกษาต่อได้มากทีเดียว