ผมทำงานกับบริษัทต่างชาติมา 25 ปี ไปต่างประเทศมาเกือบ 20ประเทศรวมทั้งใน ในอาเซี่ยน จึงมีประสบการณ์โดยตรงในการใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานและชีวิตส่วนตัวเพราะทำงานกับหัวหน้าที่เป็นคนต่างชาติตลอดมาจึงรู้ว่าควรจะสอนภาษาอังกฤษส่วนไหนที่คนต่างชาติใช้จริงๆในการพูดคุยในทางธุรกิจ และทุกประเทศที่ผมไปฝรั่งทุกคนที่ผมไปเจอและประชุมเรื่องงานด้วย บอกกับผมทุกคนว่าทำไมพูดภาษาอังกฤษได้ดีขนาดนี้ แม้แต่ไปห้างพูดคุยกับฝรั่งคนทั่วไปก็ยังบอกว่าทำไมพูดภาษาอังกฤษได้ดีขนาดนี้ ผมคิดว่าพอฝรั่งเห็นคนหัวดำพวกเอเชีย ก็คิดไปก่อนว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีครับ
ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เรียนจบด้านภาษาอังกฤษมาโดยตรงแต่ด้วยในเรื่องงานต้องใช้ผมจึงต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยฟังฝรั่งสอนภาษาอังกฤษจาก Youtube โดยในแต่ละเรื่องแกรมมาร์ที่ผมไม่รู้หรือสนใจเรียนรู้ผมก็จะฟังจากฝรั่งประมาณ 20 คนหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับว่าใน Youtube มีไหม ที่สอนเรื่องเดียวกัน แต่คนสอนที่ต่างกันสอน ผมก็จะได้เคล็ดคลับในการเรียนภาษาอังกฤษจากทุกๆคนมาอยู่ที่ตัวผมจึงรู้ว่าแต่ละกฏแกรมมาร์มีเทคนิคการใช้อย่างไรแบบรอบด้านจึงสามารถตอบได้ว่าฝรั่งใช้กฏไหนในการเขียนหรือพูด และพอมาเรียนรู้แบบนี้แล้วผมคิดย้อนกลับไปตอนที่คนไทยเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน เราแทบไม่ได้เรียนรู้อะไรที่เป็นแก่นแท้ของหลักภาษาอังกฤษเลย แบบที่ฝรั่งเขาใช้กันหรือเรียนแต่ก็เรียนแบบสอบให้ผ่านเท่านั้น ยิ่งครูสอนที่สอนไม่รู้วิธีการสอนแกรมมาร์อีกด้วยยิ่งไปกันใหญ่ทำให้คนไทยไม่ชอบภาษาอังกฤษมากขึ้นอีก
และการที่ผมก็เรียนภาษาอังกฤษแบบคนไทยส่วนใหญ่ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น พอผมฝึกภาษาอังกฤษสำเร็จด้วยตัวเองทั้งการฟังและพูดอ่านเขียนได้ดี ผมจึงเห็นภาพเลยว่าตรงจุดไหนหรือประเด็นไหนที่เราไม่ได้ถูกสอนแต่มันสำคัญ จึงทำให้เราเรียนภาษาอังกฤษแบบท่องจำและนำไปใช้หรือสอบถ้าไม่ใช้ก็ลืมหมดเพราะไม่เข้าใจหลักภาษาที่แท้จริงนั่นเอง ตรงนี้แหละพอผมสอนเด็กนักเรียนพิเศษที่ผู้ปกครองให้ไปสอน หรือคนทำงานที่จะไปใช้ในงาน ผมก็สอนได้ตรงประเด็นที่เด็กหรือคนทำงานที่ครูในโรงเรียนมองข้ามตรงนี้ไปโดยการไม่สอนนั้นเอง แต่ไปสอนกฎแกรมาร์มากมายแบบยากๆให้แบบท่องจำ พื้นฐานที่ผมว่าที่ครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนไม่สอนแบบจริงจังเป็นกิจลักษณะก็คือ ชนิดของคำ หรือ parts of speech และหน้าที่ของชนิดคำ และตำแหน่งของชนิดคำที่จะอยู่ในประโยคหรือกลุ่มคำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญอันดับหนึ่งในการเรียนรู้ภาษาทุกภาษาทั่วโลก อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผมตกผลึกในการสอนเรื่องพวกนี้มากเพราะผมทำงานผมใช้และฟังอ่านพูดเขียนกับหัวหน้าที่เป็นฝรั่งมันทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าเราจะอ่านเขียนฟังพูดภาษาอังกฤษในระดับไหนไม่ว่าระดับสูงหรือขั้น advanced ถ้านักเรียนหรือทุกคนได้เรียนเรื่อง parts of speech แบบเข้าใจอย่างแท้จริง เราก็สามารถรู้ได้ทั้งหมดเลยว่าที่ฝรั่งพูดเขียน มาจากเรื่องนี้ทั้งหมดเพราะสิ่งที่ฝรั่งพูดเขียน เขาใช้ ชนิดของคำตามหน้าที่ของมันดังนั้น ทุกคำที่เขาใช้ในการพูดหรือเขียนจะอยู่ตามตำแหน่งทุกคำที่เป็นหน้าที่แต่ละคำนั่นเองเอามาเรียงร้อยเป็นประโยคหรือกลุ่มคำแล้วก็นำมาสร้างเป็นกฎเกณฑ์ที่เราเรียกว่าแกรมมาร์นั่นเองครับ แต่เราเรียนแกรมาร์แบบไม่เข้าใจพื้นฐานจากสิ่งที่เขาเอามาสร้างเป็นกกเกณฑ์นั้นเองครับก็คือ parts of speech นั่นเองครับ

ต่อไปเป็นประสบการณ์ในการสอนภาษาอังกฤษของผม ผมรับสอนภาษาวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดต่างๆ มีทั้งสอนตามห้าง บ้านเด็กหรือคนทำงาน หรือแถวสยามที่พ่อแม่ของเด็กไปจองห้องเรียนให้ผมสอน
ผมมีประสบการณ์สอนเด็กเตรียมอุดมศึกษาใหญ่ที่พญาไท 5คน เรียนอยู่ม.5 โดย 3 ใน 5 คนได้ทุนรัฐบาลเรียนด้านวิทยาศาสตร์เป็นเลิศจนจบปริญญาเอก คุณแม่ทั้ง 5 คน จ้างผมไปสอนภาษาอังกฤษ เพื่อให้พูดและเขียนภาษาอังกฤษได้ดีเพราะพอน้องๆจบม.6 ต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมสอนคอร์สนี้โดยใช้พูดภาษาอังกฤษในการสอนเพราะคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้นักเรียนได้ทักษะในการฟังและแกรมาร์ไปด้วยในเวลาเดียวกันผมสอนอยู่ 3 เดือนก็จบหลักสูตรจากพื้นฐานที่สำคัญเรื่อง parts of speech ที่ผมกล่าวมาแล้วแม้แต่เด็กเตรียมอุดมศึกษาก็ไม่ได้เรื่องพวกนี้ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ซึ้งถึงปัญหาการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเรามากขึ้นที่มองข้ามการสอนเรื่องนี้ไป เพราะเด็กพวกนี้ฉลาดมากเพราะพอผมสอนเขาเรื่องนี้ แต่เด็กๆได้ส่วนบนที่ไม่ใช่พื้นฐานสำคัญแล้ว พอสอนเรื่อง parts of speech ให้ก็เป็น Jigsaw ให้พวกเขาเข้าใจมากขึ้นทันทีเพราะส่วนบนที่เด็กรู้แล้วและฉลาดด้วยก็เลยมาประสานกับเรื่องพื้นฐานสำคัญก็เลยทำให้พวกเด็กเข้าใจส่วนบนแบบเข้าใจจริงๆแบบไม่ต้องท่องจำต่อไป
ผมเคยสอนที่เป็นสถาบันด้านภาษาที่โรงเรียนสอนภาษาบ้านอาจารย์เจย์ รบกวน google ดูครับก็ดังในระดับหนึ่งผมสอนอยู่ 4 ปี ปีแรกที่ผมเข้าไปสอนใหม่ๆซึ่งเป็นอาจารย์คนเดียวที่สอนเรื่อง parts of speech นักเรียนเลยจองเข้ามาเรียนกับผมมากมายเพราะบางคนเรียนแล้วว่าดีและสำคัญและต่อยอดไปใช้ในระดับที่สูงขึ้นได้ดี และบอกต่อเพื่อนๆให้มาเรียนก็เลยดังด้านสอนเรื่องนี้
ผมเคยสอนภาษาอังกฤษให้ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ฝรั่งเช่นญี่ปุ่น ที่โรงเรียนสอนภาษาสากลแถวสุขุมวิทประมาณ 3 ปี
ผมมีประสบการณ์สอนภาษาไทยให้คนต่างชาติด้วยที่ MODULO LANGUAGE SCHOOL สอนอยู่ 3 ปีก็ออกมาแล้ว รับสอนแค่ภาษาอังกฤษให้คนไทย
อีกอย่างครับผมสามารถไปสอน in-house training ตามบริษัทที่เขามีการจัดการเรียนภาษาอังกฤษให้พนักงานด้วยนะครับเพราะเคยไปสอนเพราะเพื่อนเป็น HR ที่บริษัทที่เพื่อนทำงานก็เลยได้เข้าไปสอนเป็นคอร์สแบบ 3 เดือน ทุกคนบอกว่าดีกว่าเรียนกับฝรั่งเพราะฝรั่งไม่เข้าใจปัญหาของคนไทยหรอกว่าพวกเรามีปัญหาอะไรในการเรียนภาษาอังกฤษเพราะเขาคือเจ้าของภาษาเขาก็มองทุกอย่างง่ายไม่เห็นมีอะไรยากเพราะเขาไม่เข้าใจตรงนี้นั่นเองก็เอาหนังไปหนึ่งเล่มหรือ copy sheet ไปสอนเป็นครั้งๆ ก็เหมือนเดิมไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมจากที่ต้องการจะเรียนเพื่อให้พูดได้และเขียนได้ นอกจากได้ฟังฝรั่งพูดและก็อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมดด้วยยิ่งไปกันใหญ่และ 1 สัปดาห์ เรียนหนึ่งครั้ง ครั้งละ 2-3 ชม.แทบไม่ได้อะไรจากการฟังเพื่อให้เกิดทักษะในการฟังจริงๆ เพราะถ้าจะฝึกทักษะในการฟังจริงๆ ต้องฟังทุกวันต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 เดือน โดยไม่หยุดฟังสักวัน อันนี้แหละถึงจะได้ทักษะในการฟังจริงๆครับ ยกตัวอย่างของผมให้ฟัง ตอนที่ผมเริ่มฝึกภาษาอังกฤษใหม่ๆและเพราะรู้ว่าถ้าจะพูดให้ได้ต้องฟังมากๆเพราะผมนึกถึงเรื่องนกแก้วนกขุนทองที่พูดภาษาคนได้ เพราะเจ้าของคงต้องพูดให้นกฟังทุกวันในประโยคที่ต้องการให้นกพูดได้ แรกๆคิดว่านกพูดไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าของพูดให้ฟังทุกวันประโยคเดิม สุดท้ายนกก็พูดประโยคนั่นได้ ผมก็เลยถึงบางอ้อว่า การพูดได้น่าจะเกิดมาจากที่เราฟังอะไรบ่อยๆมากๆทุกวันจนเป็นนิสัยแล้วเข้าใจเลยไม่ว่าฝรั่งจะพูดช้าเร็วขนาดไหนเราก็เข้าใจเพราะพอเขาพูดประโยคแรกเราเข้าใจทันทีโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องแกมมาร์เลยเพราะเราฟังมามากแล้วนั้นเองรูปแบบประโยคที่เราฟังมามากแทบไม่เปลี่ยนรูปแบบประโยคแค่เปลี่ยนคำศัพท์ สถานการณ์ พอเราได้ยินฝรั่งพูด เราก็เลยเข้าใจทันที่(ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าให้คิดเป็นภาษาอังกฤษเลยตอนฟัง ผมไม่เห็นด้วยตรงนี้เพราะเราเป็นคนไทยและถ้าไม่ได้ไปโตเมืองนอกตั้งแต่เด็กดังนั้นภาษาไทยมันติดตัวเราแล้วตั้งแต่เกิดและพูดอ่านเขียนฟังภาษาไทยมาเกือบทั้งชีวิตดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้คิดเป็นไทยเมื่อตอนฝึกฟังอังกฤษยังไงเราก็ต้องแปลเพียงแต่ว่าถ้าเราฟังจนเคยชินแล้ว ที่บอกพอฝรั่งพูดประโยคแรก เราเข้าใจทันที ประโยค 2 ,3,4...….ตามมาและเราเข้าใจทันทีแต่ยังไงก็ต้องนึกเป็นไทย และเราสามารถตอบโต้กลับได้ อันนี้แหละถึงจะบอกว่าเราฟังฝรั่งเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วไม่ให้คิดไทยให้คิดเป็นภาษาอังกฤษ ผิด concept ครับ ถ้าเราโตในเมืองไทยตั้งแต่เด็กนะครับ ร่ายยาวเพราะผมผ่านระยะเวลาพวกนี้มาหมดแล้วและรู้ซึ้งถึงปัญหาในการฝึกฟังมาทั้งหมดแล้วจนสำเร็จด้วยตัวเองจึงสามารถอธิบายหรือตอบปัญหาให้เด็กที่มาเรียนกับผมว่าต้องฟังอย่างไรและถ้ามีปัญหาแบบนี้แบบไหนต้องแก้อย่างไรครับ ผมฟัง CNN ทุกวันตอนนั้นที่จบใหม่ทำงานกับบริษัทคนไทยThai glass ใน CV ขับรถไปทำงานผมก็ฟัง CDและฟังวิทยุที่เป็น shortwave จากต่างประเทศที่เราสามารถรับฟังภาษาอังกฤษได้ในเมืองไทย ผมฟัง VOA special English ของอเมริกาเป็นช่องสอนภาษาอังกฤษ พอถึงบ้านก็เปิด CNN ฟังสมัยนั้นยังชื่อ UBCเลยครับจน CP ไปซื้อเปลี่ยนเป็น True visions ผมฟังอยู่ 4 เดือนแรกทุกวัน ผมฟังไม่เข้าใจและจับใจความอะไรไม่ได้เลยเพราะ
1. ผมไม่เคยฟังฝรั่งพูดเลย เรียนจาก ป.5ผมอยู่ประจวบเรียนภาษาตอนป.5จนจบป.ตรี เพราะเราเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้ภาษาไทยในการพูดสอนแกมมาร์โดยครูคนไทยแสดงว่าที่เราใช้เวลากันมา 12 ปีในการเรียนภาษาอังกฤษเราไม่ได้ทักษะการฟังภาษาเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องพูดถึงทักษะการพูด แทบไม่ได้พูดเลยเพราะครูพูดแถมพูดเป็นภาษาไทยอีกก็เลยไม่ได้อะไรเลย ท้าวความว่าทำไมผมหรือคนไทยทุกคนถ้าฟังตอนแรกรับรองไม่มีใครเข้าใจเลยครับเหมือนที่ผมเจอมา
2.เพราะข่าวเขาจะต้องพูดเร็วทำเวลารายการของเขา และนักข่าวไม่ได้มานั่งคิดว่าคนฟังกำลังเรียนภาษากันอยู่จากพวกเขา ก็เลยพูดเร็วเพื่อให้พวกฝรั่งฟังกันเองครับ ขนาดพูดช้าๆเป็นบทสนทนาสั้นๆยังไม่เข้าใจ พอมาเจอแบบนี้ 4 เดือนแรกถึงไม่เข้าใจเพราะเหมือนได้ยินเป็นกลุ่มคำฟังแยกไม่ออกเป็นคำเลยครับ(แต่หลังจากที่ผมฟังจนเข้าใจแล้วผมมาเข้าใจทีหลังว่าจริงๆแล้ว 4 เดือนที่ผมฟังไม่เข้าใจเนื้อหาแต่ผมได้ซึบซับสำเนียง(accent) วิธีการพูด(pronunciation) จังหวะจะโคลนในการพูด(intonation)ไว้แล้ว พอฟังเข้าใจและตอบโต้ได้ทันทีเพราะฟังมามาก ก็เลยทำให้การพูดภาษาของผมไปเข้าหูพวกฝรั่งเพราะที่ผมได้ 3 อย่างมาแบบไม่รู้ตัวนั่นเองครับ ทำให้ฝรั่งเข้าใจง่ายว่าผมพูดอะไร ตามที่ผมเล่าว่า ทุกคนบอกว่าทำไมผมพูดภาษาได้ดีพอผมไปต่างประเทศ ถึงแม้ว่าสำเนียงจะไม่ได้ 100% เหมือนเจ้าของภาษาเพราะเราโตเมืองไทยครับ ผมถึงคิดถึงพวกสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือคนจีนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีแต่สำเนียงจียเลยครับ แต่ทำไมฝรั่งฟังรู้เรื่องก็เพราะ pronunciation and intonation นั่นเองทำให้ฝรั่งคุ้นหูพวกฝรั่ง ผมถึงบอกกับนักเรียนของผมที่มาเรียนกับผมว่าถ้าฝึกตามการฟังที่ผมบอกรับรองเราสามารถพูดได้ดีกว่าชาติไหนในโลกที่ไม่ใช่เจ้าของภาษานะครับเพราะว่าภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ให้ผันได้ 5 เสียงพอเราเลียนสำเนียงภาษาอื่นๆไม่ใช่เฉพาะภาษาอังกฤษอย่างเดียวนะครับทุกภาษา ทำให้คนไทยพูดได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษานั้นๆเพราะเราสามารถผันได้ 5 เสียงนั่นเองครับ แต่พวกจีน ญีปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ทำได้ยากกว่าคนไทยที่เรียนภาษาอื่นไ ทำได้ง่ายกว่าครับถ้าฟังมากๆนะครับรับรองพูดได้ทุกภาษาและดีด้วยถ้าเรามีเวลาที่จะทำมันครับ
3. คำศัพท์ที่เขาใช้เพราะเป็นรายงานข่าวแน่นอนที่เรียนมาในโรงเรียนแทบไม่เจอหรือเจอน้อย และยิ่งมีการสัมภาษณ์สดกับคนอื่นอีกยิ่งไปกันใหญ่ ผมผ่านมาหมดแล้วครับจึงรู้ดีว่าการฟังทำให้เราพูดได้ แม้ว่าเด็กที่สอบได้เต็มแกรมาร์แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ครับ เพราะทักษะการพูดมาจากทักษะการฟัง และทักษะการเขียนมาจากทักษะการอ่าน แต่พวกเราเรียนภาษาไม่ได้เรียนทักษะทั้ง4 แบบจริงจังเลยโดยเฉพาะทักษะการฟังและการอ่านซึ่งสำคัญมากๆแต่บ้่านเราเน้นให้เรียนแกรมมาร์แบบท่องจำเป็นสูตรเพื่อไปสอบก็เลยได้คำพูดอันนี้เป็น Slogan ว่า "เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาลจนจบป.ตรีก็ไม่สามารถพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษได้" แต่ไม่ห่วงเรื่องการอ่านและเขียนพอมีเวลาคิดและแก้ไขแต่ที่บอกถ้าไม่ได้ทักษะการฟังและและพูดแบบจริงจัง ทักษะการอ่านและเขียนจะพัฒนาได้ช้าหรือไม่ดีพอครับ

อ้าวลืมเลยครับยังไม่จบครับเรื่องที่ผมฟังขออีกนิดนะครับ หลัง 4 เดือนผมฟังไม่รู้เรื่องคือจับใจความยังไม่ได้ผมก็ฟังต่อไปหลังจากนั้นครับ ลืมบอกว่าตอนนอนผมก็เปิด CNN ฟังนะครับพูดง่ายๆทำบรรยากาศเหมือนผมอยู่เมืองนอกมีภาษาอังกฤษเข้าหูตลอดเวลาแม้แต่ตอนนอนหลับครับเพราะสมองทำงานตลอด 24 ชม.ครับ มีอยู่คืนหนึ่งเป็นเวลาที่ผมฟังมาทุกวันไม่หยุดแม้แต่วันเดียว น่าจะเข้าเดือนที่ 6 ครับ ผมตื่นขึ้นมากลางดึกขณะที่ CNN เปิดอยู่ ผมเข้าใจเกือบ 100% ที่นักข่าวพูดครับ ผมตกใจมากว่าทำไมเข้าใจก็ที่บอกคุณสมฤทัยตอนแรกนกแก้วนกขุนทองเป็นสัตว์ยังพูดภาษาคนได้ แต่พวกเราเป็นคนสมองพัฒนามากกว่าสัตว์ผมจึงเข้าใจว่าการทำอะไรซ้ำๆจำเจซ้ำซากในสิ่งที่เราต้องการเรียนรู้ เราต้องทำสิ่งนั้นให้เป็นนิสัยนั้นเองเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันเช่นตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟันโดยอัตโนมัตแบบไม่มีข้อแม้ จึงต้องใช้ความมุ่งมั่นและมีวินัยมากๆในฝึกภาษาครับเพราะมีด่านอรหันต์ที่ผมบอก 4-6 เดือนถ้าทุกคนที่ฝึกรู้ตรงนี้และมีความมุ่งมั่นและวินัยทำทุกวันรับรองสำเร็จเหมือนผมครับ แต่ที่บอกล้มเลิกกลางคันก็มากมายครับเพราะผมเข้าใจตรงนั้นเหมือนกันว่าฟังอะไรไม่รู้และไม่เข้าใจถ้าไม่มีความอดทน วันเดียวหรือชม.เดียวก็ไมเอาแล้วครับ แต่ผมจะบอกนักเรียนที่มาเรียนกับผมทุกคนว่า พอผ่านด่าน 4-6 เดือนไปได้แล้ว ที่ผมบอกทำอะไรทุกวันนานขนาดนั้นก็จะกลายเป็นนิสัยละทีนี้ พอไม่ได้ฟังวันไหนเหมือนขาดอะไรไปอย่าง ผมผ่านเวลานั้นมาแล้วครับ รุ่นผมตอนนั้นไม่มี cell phoneเหมือนปัจจุบันซึ่งฝึกฟังได้ง่ายมากเข้า YouTube ความรู้ภาษาให้ฟังมกาศาล รุ่นผมต้องใช้ เซาด์เบ้า อยู่เลยครับ ต่อของผมอีกนิดครับหลังจากผมฟังเข้าใจดีแล้วผมก็เริ่มฝันเป็นภาษาอังกฤษ ผมเคยได้ยินคนพูดแบบนี้เหมือนกันว่าต้องฟังจนคุณฝันเป็นภาษาอังกฤษนั้นแสดงว่าคุณมีภาษาอังกฤษอีก 1 ภาษาอยู่ในหัวคุณแล้วครับ ทีนะแหละคุณจะยิ่งชอบฟังมากขึ้นเพราะสนุกแล้วครับ ยิ่งถ้าคนไหนที่ทำงานมีโอกาสได้ใช้ภาษาด้วยนะคนนั้นยิ่งสนุกเพราะได้ใช้และจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดเลยครับเพราะได้ใช้ในชีวิตจริงไม่ใช่เรียนแต่ไม่ได้ใช้ก็จะลืมหมดครับ แต่เรียนฝึกใช้จนเข้าใจ เน้นนครับเข้าใจไม่ได้ท่องจำ ต่อให้หยุดใช้ไปเมื่อมาใช้ก็ใช้ได้เพราะเราเข้าใจแล้วไม่ได้เรียนเหมือนท่องจำสมัยก่อนเพื่อสอบ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเลยครับ ผมถือว่าการฝึกฟังภาษาอังกฤษเหมือนฝึกทักาะอะไรก็ได้แต่ผมอยากบอกว่า ทักษะการว่ายน้ำและขี่จักรยานมาเปรียบเทียบกับการฝึกการฟังภาษาอังกฤษได้ดีและเห็นภาพมากครับ อย่างนี้ครับ ผมคิดว่าถ้าทุกคนเรียนหัดว่ายน้ำเริ่มแรก รับรองได้สำลักน้ำและกินน้ำทุกคนเพราะเริ่มแรกยังไม่รู้วิธีหรือไม่คล่องจะต้องลอยคอหรือว่ายแบบไหน สุดท้ายบางคนล้มเลิกไม่อยากว่ายน้ำเป็นแล้ว ก็เหมือนหัดขี่จักยานยิ่งกว่าหัดว่ายน้ำอีกเพราะสำลักน้ำกินน้ำ ไม่เหมือนล้มบนดินบนถนนได้เลือดได้แผลอีกต่างหาก ผมว่าหัดขี่จักรยานนี้แหละเหมาะที่จะมาเปรียบดทียบความยากในการฝึกฟังภาษาอังกฤษได้ตรงมากครับเพราะฟังไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องและเบื่อก็เหมือนจักรยานล้มได้แผล บางคนไม่ทนเจ็บ ไม่ทนความไม่เข้าใจก็ล้มเลิก เหมือนกันเป๊ะเลยครับ แต่ถ้าผ่านไปได้จนขี่ได้ไม่ล้ม หรือฟังจนเริ่มเข้าใจแล้ว ทีนี้แหละมีเวลาไม่ได้คว้าจักรยานไปปั่นตลอด หรือออกไปนอกบ้านไม่มี CNN ฟัง ไม่มีมือถือเล็กๆสมัยนี้ให้ฟังสะดวก ผมก็ฟังโดยใช้เซาด์เบ้าละครับใหญ่เถอะทะอย่างไรก็เอาไปฟังครับ ชีวิตจริงก็เป็นแบบนั้นจริงๆครับ อยากได้ไปออก TV เล่าประสบการณ์ในการฝึกเหมือนที่ผมเขียนให้คุณสมฤทัยฟังจังเลยครับ มันคงมีความสุขที่ได้ให้คนไทยส่วนใหญ่รับรู้ว่า ไม่ได้เรียน Inter เรียนต่างจังหวัด เริ่มเรียนอังกฤษ ป.5 จบรามคำแหงก็ประสบความเสร็จได้ในชีวิตการทำงานได้ไปต่างประเทศมากมายเนื่องจากได้ภาษา จากการได้ฝึกภาษาจนสำเร็จด้วยตัวเองแม้ว่าไม่ได้เรียนสาขาวิชาอังกฤษโดยตรงแต่เรียนรู้ด้วยตนเองไปใช้ในงานและสามารถมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้อีกด้วยครับ ถ้าคุณสมฤทัยมีช่องทางให้ผมได้เผยแผ่ความรู้และประสบการณ์ตรงนี้ได้ก็ขอรบกวนด้วยครับจะขอบพระคณเป็นอย่างสูงครับ
จบแล้วครับผมประสบการณ์ตรงที่อยากเล่าให้ฟังครับ และผมก็มีโปรแกรมในใจว่าหลังจากเกษียณการทำงานจะไปสมัครสอนภาอังกฤษในโรงเรียน 2 ภาษาหรือ Inter โดยเป็นโครงการพิเศษการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อไปใช้ในอนาคตการทำงานจริงๆไม่ใช่เรียนเหมือนปัจจุบันโดยนักเรียนต้องมาเรียนกับผมทุกวันเหมือนเป็นวิชาพิเศษอีก 1 วิชาที่ต้อวเรียนทุกวันเพราะผมรู้ดีว่าการเรียนภาษามันเป็นทักษะปนความรู้ดังนั้นเรียนวันเดียวใน 1 สัปดาห์ วันละ 50 นาทีในคาบ แทบไม่มีประโยชน์อะไรให้แก่นักเรียนเลยครับ ดังนั้นวิชาผมต้องมีเรียนทุกวัน ได้พื็นฐานจริงรู้จริงแต่งประโยคได้ ถามคำถามได้แบบเข้าใจไม่ได้ท่องจำดังนั้นถ้าเข้าใจต่อไปก็ถามคำถามตามที่ต้องการได้ และที่สำคัญวิชาผมไม่มีตกหรือได้ครับ อันนี้แหละสำคัญมากทำให้การศึกษาอังกฤษบ้านเราล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากให้เรียนแบบได้เกรด ครับจึงเป็นที่มาของสอนง่ายในโรงเรียนแต่ออกข้อสอบยากนอกเหนือตำราแล้วทำให้เด้กต้องไปเสียเงินเรียนข้างนอกแถมติวเตอร์สอนเป็นสูตรอีกให้ท่องจำไม่เข้าใจจริงๆ จึงพูดหรือเขียนประโยคแบบง่ายๆก็ไม่ได้แต่ดันสอบแกรมมาร์ผ่าน ก็จบเห่ครับ
อีกนิดครับซึ่งเป็นจุดที่สำคัญด้วยครับผมรีบเลยลืมเขียนครับ ที่ผมเปรียบเทียบการฝึกขี่จักรยานกับฝึกฟังภาษาอังกฤษว่าเหมือนกันเลยจะต้องผ่านความยากลำบากเจ็บตัวใช้เวลาในการฟัง แต่ถ้าเราฝึกจนขี่เป็นชำนาญไม่ล้มแล้วทีนี้ก็ทำอะไรต่อยอดที่ขี่เป็นแล้วให้ยากยิ่งขึ้นได้ง่ายขึ้นไม่เหมือนฝึกตอนแรกเช่นปล่อยมือขี่บ้าง แลกๆก็อาจจะล้มหรือไม่ล้มเพราะรู้จักทรงตัวแล้วถ้าจะล้มก็เอามือมาจับแฮนด์ได้เพื่อขี่แบบปกติไม่โลดโผน แต่ถ้าฝึกขี่ปล่อยมือบ่อยๆเดี๋ยวก็ได้ไม่ได้ใช้เวลามากเหมือนที่เริ่มหัดขี่ใหม่ หมายถึงพอขี่เป็นแล้วที่นี้จะทำอะไรที่มันพิเศษมากขึ้นก็ทำได้สะบายกว่าแต่ก่อนมาก มาเปรียบเทียบกับการฝึกฟังภาษาอังกฤษเหมือนกันเลยพอผ่าน 4-6 เดือนเริ่มฟังออกและพูดได้บ้างแล้ว ก็เริ่มเอาไปใช้เขียนหรือพูดได้บ้างถ้ามีโอกาส ก็น่าจะมีปัญหาบ้าง เหมือนขี่ปล่อยมือตอนแรกๆก็ขี่ได้ไม่ไกลก็จะล้มก็ต้องเอามือมาจับแฮนด์ เหมือนเมื่อฝึกฟังแล้วนำมาใช้ก็อาจจะได้บ้างแต่ก็ยังไม่เก่งพอก็อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้างเช่นฟังไม่ออกบ้างไหรือไม่รุ้คำศัพท์บ้าง แต่หลังจากที่ฝึกขี่ปล่อยมือจนเกิดความชำนาญแล้วก็ขี่ได้ไกลขึ้นเรื่อยๆก็เหมือนฝึกฟังแล้วเอาไปใช้แรกๆคุยกับเอเชียด้วยกันก็ฟังง่ายหน่อยเพราะคุ้นสำเนียงกัน แต่หลังจากนั้นเริ่มคุยกับเจ้าของภาษาเหมือนขี่แปบปล่อยมือได้ไกลขึ้น ก็จะยากขึ้นมานิดแต่ก็ยังคุ้นที่เคยฝึกฟังจากเจ้าของภาษามาโดยตรงก็ช่วยได้นั้นเอง จนสุดท้ายขี่ปล่อยมือก็สะบายๆไปไกลได้ตามใจปรารถนาและพูดหรือฟังจากเจ้าของภาษาได้สะบายเช่นกัน
ทีนี้ผมก็จะพูดถึงการเรียนหรือฝึกหัดอะไรแล้วจนสามารถทำได้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วหรือเป็นทักษะที่ติดอยู่ตัวแล้วไม่หายไปไหนแล้วคือขี่จักยานเป็นแล้ว และพูดฟังภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติแล้วหรือมีอีก 1 ภาษานอกจากภาษาไทยแล้วในหัว ผมก็จะบอกว่าถ้าเราเลิกขี่จักยานไป 10 หรือมากกว่านั้นก้ได้ คือไม่ได้จับเลยนะครับ ถ้าเราจะมาขี่วันใดวันหนึ่งเราก็จะขี่ได้ทันทีและไม่ล้มอีกแล้วย้ำไม่ล้มอีกแล้วครับแต่อาจจะไม่เก่งเหมือนเมื่อก่อนเพราะไม่ได้ขี่มานาน แต่ถ้าได้เริ่มกลับมาขี่ทุกวันแป๊ปเดียวเดี๋ยวก็ขี่ได้คล่องปล่อยมือขี่ได้เหมือนเดิม ไม่ได้ใช้เวลานานเหมือนเดิมแล้วเพราะทักษะการขี่มันอยู่ในตัวเราแล้วครับนั้นเอง ก็เหมือนฝึกฟังหรือพูด ถ้าเราเคยฝึกจนพูดและฟังได้จนเป็นธรรมชาติจนเป็นทักษะอีกหนึ่งภาษาในหัวเราแล้ว ถ้าเราหยุดไม่ได้ฟังนานๆหรือไม่ได้พูดนาน ถ้ากลับมาฟังหรือพูดมากขึ้นก็จะสามารถทำได้เหมือนเดิมนั่นเองครับเพราะมันเป็นทักษะติดตัวไปแล้วครับ อันนี้แหละผมค้นพบด้วยตัวผมเองจากการฝึกสำเร็จแล้วมองย้อนกลับไปครับจึงอยากบอกให้ทุกคนฝึกทักษะอะไรก็ได้ที่ต้องการให้เกิดในตัวต้องทำให้ได้นานสักระยะเวลาหนึ่งจนเกิดเป็นทักษะเหมือนที่เราขี่จักรยานได้ ยังไงกลับมาขี่ก็ยังขี่ได้อยู่นั่นเองครับแม้ว่าจะเลิกขี่ไปนานแค่ไหนก็ตามครับ

จอมทอง ทุ่งครุ ธนบุรี บางขุนเทียน บางคอแหลม พระประแดง พระสมุทรเจดีย์ ยานนาวา ราษฎร์บูรณะ

หมวดหมู่อื่นๆที่แสดง:

สุดยอดของการเรียนรู้และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีถ้าเราเข้าถึงหลักgramma ถ้าต้องการเขียนได้ให้ถูกประโยคและพูดได้ต้องลองมาเรียนค่ะ

ณิชาพัฒน์ · 25 พ.ค. 2020
มิว · 19 มี.ค. 2020
นาย ภูมิเกียรติ วนนุรักษ์สกุลตอบกลับ:
ขอบคุณครับ

Good teacher

ส้ม · 20 ม.ค. 2020